วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

บชร.1 Kon Thai Love King: การทำสงครามมิได้จำกัดอยู่เพียงการประหัตประหารกันด้วยอาวุธ

บชร.1 Kon Thai Love King: การทำสงครามมิได้จำกัดอยู่เพียงการประหัตประหารกันด้วยอาวุธ

การทำสงครามมิได้จำกัดอยู่เพียงการประหัตประหารกันด้วยอาวุธ

“...ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ การป้องกันบ้านเมือง มีขอบเขตกว้างขวางมาก เพราะการทำสงครามมิได้จำกัดอยู่เพียงการประหัตประหารกันด้วยอาวุธ หากยังกระทำด้วยการยุยงบ่อนทำลายโดยกลอุบายต่างๆ ด้วย เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องทำการป้องกันให้ทั่วทุกทาง โดยฐานะและหน้าที่ ทหารต้องป้องกันประเทศด้วยการใช้อาวุธและใช้กำลังต่อสู้ แต่นอกเหนือจากนี้
ทุกคนย่อมจะป้องกันบ้านเมืองด้วยวิธีการอื่น ได้อีก เช่น ด้วยการรักษาเกียรติและความเป็นทหารอันแท้จริงของท่าน การป้องกัน โดยวิธีนี้เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดที่จะต้องทำ เพราะการตั้งมั่นอยู่ในวินัย ในความสุจริต มีสติควบคุมกายใจให้อยู่ในระเบียบ ประพฤติปฏิบัติแต่การที่ปราศจากโทษและเป็นคุณประโยชน์ ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่เบียดเบียนกระทบกระเทือนผู้อื่น
เหล่านี้เป็นการปฏิบัติเพื่อสร้างความเชื่อถือไว้วางใจ เป็นเสมือนอาวุธลับสำหรับทำลาย
การส่อเสียดยุยงและความแตกแยก ตราบใดท่านรักษาความเป็นทหารที่แท้ของ
ท่านไว้โดยครบถ้วน ตราบนั้นท่านก็จะรักษาความเป็นปึกแผ่นและปลอดภัยของ
ชาติไว้ได้โดยมั่นคง การยุยงบ่อนทำลายหรือกลวิธีอันเลวร้ายต่าง ๆ จะไม่อาจทำ
อันตรายได้เลย...”

พระบรมราโชวาท
พระราชทานแก่ทหารรักษาพระองค์
ในพิธีตรวจพลสวนสนามเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา
วันศุกร์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๑๔

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คำตอบจากสาวรุ่นชาวไทยผู้หนึ่ง

ผู้สื่อข่าว บีบีซี นิวส์ แห่งประเทศอังกฤษ แสดงสีหน้าแปลกใจไม่น้อยเมื่อได้รับคำตอบจากสาวรุ่นชาวไทยผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังเดินออกมาหลังจากใช้เวลาเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จฯออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคมเมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา คำตอบเป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น แต่จับใจความได้ว่า “รักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก รักจนตายแทนพระองค์ท่านได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา”
 “ร็อบ โคเฮน” ผู้สื่อข่าวของวิทยุเสียงอเมริกา (วีโอเอ) ปักหลักรายงานข่าวพิธีเฉลิมฉลองครั้งนี้ จากกรุงเทพมหานคร ข้อเขียนชิ้นหนึ่งของผู้สื่อข่าวอเมริกันผู้นี้ นำเสนอในเว็บไซต์ของวีโอเอเมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา สะท้อนถึงความพยายามที่จะอธิบายต่อบุคคลภายนอกที่ยังไม่กระจ่างชัดนักว่า เหตุใดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งประเทศไทย จึงได้รับความภักดีอย่างถึงที่สุดจากปวงชนชาวไทย พร้อมๆ กับที่ได้รับคำสรรเสริญอย่างยิ่งใหญ่จากต่างประเทศ
“พระมหากษัตริย์ของไทย ซึ่งฉลองวโรกาสครองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปีในสัปดาห์นี้ เป็นที่รู้จักกันในประเทศของพระองค์ว่าทรงเป็น “กษัตริย์นักพัฒนา” จากการที่ทรงให้การสนับสนุนโครงการ เพื่อการพัฒนาในชนบทต่างๆ เป็นจำนวนมาก การอุทิศพระองค์ เพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกรส่งผลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวทรงได้รับความเคารพ และยกย่องจากทุกๆ ภาคส่วนของสังคมไทย”
ย่อหน้าถัดมาผู้เขียนบอกเอาไว้ว่า ในการเสด็จพระราชดำเนินออกมหาสมาคม มีคนไทยเรือนล้านเข้าร่วมรับเสด็จฯ และคาดว่าจะมีคนไทยอีกหลายล้านคนร่วมในพิธีฉลองยิ่งใหญ่ในช่วง 3 วันนี้
ในหลวง พัฒนาถิ่นทุรกันดาร
“ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะความพระอุตสาหะพยายามของพระองค์ในการขจัดความยากจน ให้กับคนในประเทศของพระองค์ ทำให้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับความเคารพเทิดทูนอย่างกว้าง ขวาง และนอกจากนั้นยังทรงเป็นองค์ประกอบสำคัญอันทำให้สังคมไทยยังคงความเป็นปึกแผ่น เป็นเอกภาพอยู่ในขณะนี้ “
“ร็อบ โคเฮน” ระบุเอาไว้ในข้อเขียนว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริริเริ่มโครงการต่างๆ มากกว่า 3000 โครงการ ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาแหล่งน้ำ และการส่งเสริมสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสมกับสภาพการอยู่อาศัย

“ในปี 2493 กษัตริย์หนุ่มให้การสนับสนุนความพยายามในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ ของอหิวาตกโรค นับตั้ง แต่บัดนั้นโครงการของพระองค์ได้วิวัฒน์ขึ้นไปหลากหลายตั้ง แต่การให้ความช่วยเหลือในยามฉุกเฉินเรื่อยไปจนถึงการพัฒนาเกษตรกรรม  โครงการต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงความพยายามของพระองค์ในอันที่จะเพิ่มขีดผลผลิตในการทำนาข้าว การปรับปรุงการผสมพันธุ์ปศุสัตว์ และโครงการที่มีนัยสำคัญในด้านแหล่งทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำ โครงการแพทย์ประจำหมู่บ้าน โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ แม้กระทั่งการที่ทรงคิดค้นกระบวนการทำฝนเทียม เพื่อใช้ในระหว่างหน้าแล้งยาวนานในประเทศไทย ล้วนแล้ว แต่ได้รับความสนับสนุนจากพระองค์ท่านทั้งสิ้น”
โคเฮนระบุว่า ปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” อันหมายถึงการส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างได้สมดุลในระยะยาว และยืนนานคือหัวใจของพระราชภาระเหล่านี้ เพราะกว่าครึ่งหนึ่งของคนไทย 64 ล้านคน ยังคงใช้ชีวิตของตนขึ้นอยู่กับผลผลิตที่ได้จากผืนดิน แม้ว่าอีกส่วนหนึ่งของประเทศจะแปรผันไปเป็นอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วแค่ไหนก็ตาม
“สังคมไทยแทบทั้งหมด ได้รับผลประโยชน์จากพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาขององค์พระมหา กษัตริย์ไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งชนกลุ่มน้อยชาวเขาทั้งหลายทางตอนเหนือของประเทศ  โครงการปลูกพืชทดแทนต่างๆ สำหรับชาวเขาเหล่านี้ ส่งผลให้ไทย ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นประเทศแหล่งผลิตเฮโรอีนแหล่งใหญ่ เกือบจะปลอดจากการปลูกฝิ่นแล้วในขณะนี้ ในขณะที่อีกหลายโครงการกระตุ้นให้ชาวเขาเหล่านี้ ยุติการตัดไม้ทำลายป่า เผาพื้นที่ป่า เพื่อทำการเกษตร” ข้อเขียนของ ร็อบ โคเฮน ระบุ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้รับการทูลเกล้าฯถวายรางวัลอันเนื่องมาจากผลงานการพัฒนาชนบทของพระองค์มากมาย รวมทั้ง รางวัลล่าสุดที่ทรงได้รับการทูลเกล้าฯถวายจาก นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งกล่าวสดุดีพระองค์ไว้ในโอกาสดังกล่าว ว่า
“พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์เอื้อไปยังบรรดาผู้ที่ยากจนที่สุด และเปราะบางที่สุดในสังคมไทย ทรงรับฟังปัญหาของพวกเขาเหล่านั้น และให้ความช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นให้สามารถยืนหยัดดำรงชีวิตของตนเองต่อไป ได้ด้วยกำลังของตัวเอง… โครงการ เพื่อการพัฒนาชนบทต่างๆ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังประโยชน์ให้กับประชาชนนับเป็นล้านๆ ทั่วทั้งสังคมไทย”
นั่นไม่เพียงทำให้พระองค์ทรงดำรงสถานะเป็น “กษัตริย์นักพัฒนา” ในสายต่างๆ ของบุคคลภายนอกประเทศเท่านั้น หาก แต่ยังส่งผลให้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงสถิตอยู่ในดวงใจของคนไทยทั้งปวงไปตลอดกาลน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในทรรศนะของชาวต่างประเทศ

 วันพฤหัส 14 พฤษภาคม 2552 11:20
เดวิด โมห์เซนี่ -นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
“กษัตริย์ของประเทศไทย เป็นพระประมุขพระองค์เดียวที่ยังคงสามารถรักษาอำนาจอธิปไตยของประเทศของพระองค์ไว้ได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งพิเศษมากสำหรับประเทศไทย นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชบัลลังก์อยู่ยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ พระองค์ใดเท่าที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ดูเหมือนว่าคนไทยมีเหตุผลดีพอที่จะรักพระองค์อย่างไม่จางหาย… “

แอนดี้ แคนฟีลด์ ร้อยเอ็ด
“ผมใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย และผมจะสวมเสื้อเหลืองในวันนี้ (9 มิถุนายน 2549) พระมหากษัตริย์ไทยของเราเป็นบุคคลอัศจรรย์ เป็นนักบุญ สามารถเทียบเคียงได้กับองค์ทะไลลามะ หรือองค์พระสันตะปาปา พระองค์ทรงพระราชทานแรงบันดาลใจทุกอย่างให้กับเรา แม้กระทั่งกับผู้ ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับผม ที่ถือกำเนิดในดินแดนอื่น แต่มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ “

เดวิด-ยอร์ก สหราชอาณาจักร
“ควรตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า ในขณะที่คนไทยนั้นให้ความเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด แต่กลับเป็นบุคลิกภาพ และการอุทิศพระองค์ โดยปราศจากเงื่อนไขขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่กอรปกันขึ้นเป็นรากฐานของความชื่นชมเคารพ ยกย่องในพระองค์อย่างลึกซึ้ง และใหญ่หลวงอย่างที่พระองค์สมควรได้รับ”

สตีฟ-ลอนดอน สหราชอาณาจักร
“ผมใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯมาเป็นเวลา 4 ปี และผมคงจำเป็นต้องบอกว่า การแสดงออกถึงความเคารพ และเทิดทูนที่คนไทยมีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทยนั้น เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ประชาชนสหราชอาณาจักรควรเรียนรู้จากพวกเขาให้มากเข้า ไว้”

โธมัส บราวน์-ว็อกซอลล์ ลอนดอน สหราชอาณาจักร
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระองค์อย่างชนิดที่ควรค่าอย่างยิ่งต่อการได้รับความเคารพรักจากปวง ชนชาวไทย พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมที่คนไทยทุกคนสามารถพึ่งพิงได้ ไม่ว่าจะมีความแตกต่างระหว่างกันเองมากมาย แค่ไหนก็ตาม ซึ่งไม่มีใครอื่นสามารถทำได้เช่นนี้ … ผมคิดว่าพระมหากษัตริย์ไทยทรงแสดงบทบาทในแง่ของการให้ความคุ้มครอง และยึดถือรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ผู้ที่ปฏิเสธเสรีภาพ ผมอยากให้ทหารของเราต่อสู้ เพื่อพระราชาหรือพระราชินี และประเทศชาติ แทนที่จะเป็นรัฐสภา และรัฐบาล”


ศาสตราจารย์แมนเฟรด  คราเมส   เยอรมัน

ผมรู้สึกสงสารพระองค์อย่างสุดซึ้ง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเพียงบุคคลเพียงคนเดียวที่พยายามจะ พัฒนาประเทศชาติ ในขณะที่คนอื่นๆ ในชาติได้แต่เฝ้ารอให้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นโดยที่มิได้ดำเนินตามรอยพระบาท ของพระองค์ ซึ่งผมคิดว่าการพัฒนาประเทศในรูปแบบนี้ไม่น่าจะนำพาไปสู่ความสำเร็จได้
            ผมมีโอกาสได้อ่านบทความมากมายในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีของ ประเทศไทยท่านหนึ่ง ผู้ที่นำพาประเทศไทยเข้าสู่สนามแห่งธุรกิจ เราพบเห็นนักการเมืองส่วนมากในเอเชียที่หลังจากครองอำนาจและได้ผลประโยชน์ แล้วก็ไม่ช่วยเหลืออะไรประชาชนเลย นั่นทำให้ผมรู้สึกสงสารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะคำสอนของพระองค์ตรงข้ามกับสิ่งที่นักการเมืองเหล่านั้นกำลังเป็นอยู่ พวกเขาจึงทำให้พระองค์ทรงทุกข์ใจ โดยเสแสร้งว่าซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการสร้างภาพไม่ใช่ความจริง พวก เขาเพียงแค่ต้องการจะใช้ภาพแห่งความจงรักภักดีนี้เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเท คะแนนให้ในการเลือกตั้ง และขึ้นสู่อำนาจในเวลาต่อมาเท่านั้น
กล่าวถึงความรู้สึกต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวต่างชาติที่อยู่รอบตัวผม สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน พวกเขาจะชื่นชมในพระปรีชาสามารถของพระองค์อย่างมาก โดยพื้นฐานแล้วชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในประเทศไทยมีทัศนคติในด้านบวกกับพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงแต่เราไม่ได้เทิดทูนในลักษณะเดียวกับที่คนไทยเป็นอยู่


มาร์ติน วีลเลอร์  สหราชอาณาจักร

คนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ  พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้  จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้   ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง   แต่ ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง  ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน
ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน  ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ   เศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย


Darryl N. Johnson  จาก LATIMES  สหรัฐอเมริกา

ที่ได้กล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงมีบทบาทในการปกครองประเทศ อันที่จริงแลัวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิทรงใช้อำนาจในการปกครองและมิทรง เลือกข้างทางการเมือง เฉกเช่นเดียวกับสมเด็จพระราชินีอังกฤษและสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น พระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเพียงสัญญลักษณ์และมีหลักธร รมาภิบาล มิได้เป็นอำนาจเพื่อการเมืองการปกครอง แม้ในครั้งที่พระองค์ทรงเข้าแทรกแซงในการเผชิญหน้าทางการเมือง ดังเช่นที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2535 ก็ ทรงทำเพื่อมิให้เกิดการนองเลือดและเพื่อให้เกิดการรอมชอมและความสมัครสมาน สามัคคีของคนในประเทศ แต่มิได้ทรงมีพระบรมราชโองการว่าให้ดำเนินนโยบายอย่างไรหรือผู้ใดควรเป็นผู้ ปกครองประเทศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุด ในโลกที่มีพระชนม์ชีพในปัจจุบันและยาวนานที่สุดในโลกทั้งหมด จากการครองราชย์ยาวนานกว่า 62 ปี พระองค์ทรงได้รับความชื่นชมและความจงรักภักดีจากพสกนิกรของพระองค์ในแบบ อย่างที่ชาวตะวันตกยากจะอธิบายได้ พระองค์ทรงมีบทบาทเฉพาะในสังคมไทยในอันที่ทรงดำรงตนเป็นแบบอย่างแก่ประชาชน ทั้งประเทศ ทั้งในฐานะที่ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ เป็นลุงผู้อารีผู้ส่งเสริมให้กำลังใจประชาชนทั้งในยามสุขและในยามทุกข์ยาก เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นผู้นำทางจิตใจในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา


Anthony Bailey จาก The Guardian  สหราชอาณาจักร

ผู้ที่เคยไปประเทศไทยมาแล้วจะรู้ว่าประเทศไทยมีมากกว่าชายหาดและหมู่บ้านชาวเขา ที่ งดงาม แต่ถึงกระนั้นดูเหมือนว่ามุมมองของนักวิจารณ์ชาวตะวันตกบางคนจะได้รับ อิทธิพลจากภาพยนตร์เพลง The King and I ของผู้สร้าง Rodgers และ Hammerstein และ ความสับสนทางการเมืองในประเทศไทยในช่วงสองปีหลังนี้ดูราวกับเป็นสงคราม กลางเมืองอังกฤษในแบบที่เกิดขึ้นในโลกตะวันออก ซึ่งสงครามกลางเมืองอังกฤษนั้นเป็นการสู้รบระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุน Oliver Cromwell (Roundheads หรือ Parliamentarians) และกลุ่มผู้สนับสนุนพระเจ้าชาร์ล ที่ 1 แห่งอังกฤษ (Cavaliers หรือ Royalists) ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มิได้ใกล้เคียงความเป็นจริงเลย
ในทางตรงกันข้าม ในขณะที่บรรดานักการเมืองยังคงขัดแย้งกันและเหล่าผู้ชุมนุมประท้วงออกมายัง ท้องถนน ประชาชนไทยไม่ว่าอยู่ทางทิศใด ไม่ว่ามีความเกี่ยวข้องทางการเมืองฝ่ายใด ได้มองหาการแนะทางออกจากพระมหากษัตริย์ของพวกเขา พระมหากษัตริย์ผู้ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ประชาชนชาวไทยมีความจงรักภักดีและศรัทธาในองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมิพลอดุลยเดช เป็นอย่างมาก มากจนหลายคนได้หวังว่าพระองค์จะทรงเข้ามาแทรกแซงเพื่อให้บ้านเมืองได้กลับ เข้าสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ราชวงศ์ตระหนักว่าการเข้าแทรกแซงหรือไม่เข้าแทรกแซงของพระองค์ย่อมถูก วิพากษ์วิจารณ์โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญชาวตะวันตก และราชวงศ์ก็ตระหนักเช่นกันว่าเหตุผลเบื้องหลังของการครองราชย์อันยาวนาน นั้นก็มาจากการใช้ดุลยพินิจด้วยความรอบคอบและการนำตนเองให้แยกออกจากการ เมืองที่เต็มไปด้วยความเลวร้าย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับความชื่นชมในการวางพระองค์ตามกฎหมายรัฐ ธรรมนูญ พระองค์ทรงไม่ตอบรับต่อเสียงเรียกร้องจากผู้ที่อ้างว่ากระทำไปเพื่อพระองค์ และทรงวางพระองค์ออกห่างจากเรื่องดังกล่าว และในขณะนี้ที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มจะดีขึ้นและรัฐบาลใหม่ได้มีการจัด ตั้ง การวางพระองค์ตัดสินพระทัยในการทำหรือไม่ทำสิ่งใดๆ ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม

หมายเหตุ – คัดบางตอนจากการแสดงความคิดผ่านทางเว็บไซต์ของ บีบีซี นิวส์ 9 มิถุนายน 2549
  • สำนักข่าวเจ้าพระยา

  • บทความสถาบันฯ, รวมเรื่องเด่น

  • ทรรศนะของชาวต่างประเทศ ที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

  • พระราชอำนาจกับระบอบประชาธิปไตยไทย


    บทสัมภาษณ์  จากมติชนสุดสัปดาห์ ลึกจากใจภักดิ์ “อานันท์   ปันยารชุน”

                ความเคร่งครัดและข้อปฏิบัติตามธรรมเนียมของราชสำนักกว่า 770 ปี ถูกจัดวางควบคู่กับความก้าวหน้าแห่งหลักประชาธิปไตยในช่วง 77 ปี
                การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถูกถ่ายทอดผ่านการรับสนองพระราชโองการ ของประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ-บริหาร-ตุลาการ
                นายอานันท์  ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เคยรับสนองพระบรมราชโองการ 2 สมัย สังเคราะห์การใช้อำนาจ  ภายใต้พระราชอำนาจแห่งระบอบกษัตริย์ในรัฐธรรมนูญ ในยุคความขัดแย้งลงลึกถึงรากหญ้า
                ระบอบการปกครองของไทยตั้งแต่ พ.ศ.2475 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย เรามีเวลา 75 ปี จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งพระมหากษัตริย์ใช้ทศพิธราชธรรมปกครอง ซึ่งผมถือว่าเป็นหลักธรรมาภิบาลของไทยอย่างแท้จริง การใช้อำนาจท่านทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม 10 ข้อ เป็นการจำกัดอำนาจของท่านโดยทางอ้อม คือท่านจำกัดอำนาจของท่านเอง
                อดีตนายกรัฐมนตรี เรียบเรียง-ลำดับพัฒนาการแห่ง เสาหลักประชาธิปไตย” ว่า ตั้งแต่ พ.ศ.2475-2552 ประเทศไทยให้ความสำคัญ หมกหมุ่นกับเรื่องรัฐธรรมนูญกับการเลือกตั้งค่อนข้างมากเกินไป โดยไม่เหลียวแลเลยว่าเสาหลักประชาธิปไตยอื่นๆ เช่น ความเป็นอิสระของสื่อ ความเป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรม หลักในเรื่องนิติรัฐหรือนิตธรรม ความรับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Accountability)
                เราสร้างบ้านประชาธิปไตย แต่เราไม่ได้ดูแลเสาเอก แทนที่จะเริ่มสร้างด้วยเสาไม้สัก ของเราเป็นไม้ไผ่ นี่คือจุดอ่อนของวิวัฒนาการระบอบประชาธิปไตย
                พอเราเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบุรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยก็ปรากฏว่า ไปผ่องถ่ายอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้ตกถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง ไปตกอยู่ในผู้ก่อการ-ทหาร-ข้าราชการ-พลเรือน-นักการเมือง และนักธุรกิจการเมือง
                ระบอบกษัตริย์อยู่มาประมาณ 770 ปีแล้ว แต่เป็นระบอบกษัตริย์ที่มีอำนาจโดยสมบูรณ์ภายใต้ขอบเขตของรัฐธรรมนูญ แต่ระบอบกษัตริย์เป็นหลักใหญ่นะ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยนะ
                ผมก็คิดว่า ปัจจุบันนี้ระบอบพระมหากษัตริย์ก็ยังเป็นระบอบที่คนไทยส่วนใหญ่ยังอยากให้คงไว้ ซึ่งระบอบนี้ คนไม่เห็นด้วยอาจจะมี และผมคิดว่า  คนไทยก็ต้องใจกว้างพอนะตราบใดที่ไม่ได้พูดจาถล่มทลายระบอบนี้ หรือทำลายสถาบันโดยวิธีการที่ผิดรัฐธรรมนูญ

                คำว่า พระราชอำนาจ จึงครอบคลุมความหมายกว้างกว่าคำที่บัญญัติตามรัฐธรรมนูญ
                เพราะแม้แต่พระราชอำนาจที่ผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ ผ่านฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ที่ใช้อำนาจเองไม่มีเลย ทุกครั้งก็ต้องมีคนรับสนองพระบรมราชโองการ ท่านมีเพียงแต่ลงพระปรมาภิไธย
                พระราชอำนาจ ซึ่งเป็นสิทธิของท่าน มีอำนาจที่จะพระราชทานคำปรึกษา อำนาจในการที่จะเตือนสติ มีอำนาจที่จะให้กำลังใจ มี 3 พระราชอำนาจเท่านั้น ซึ่งคุณจะเขียนรัฐธรรมนูญมาอย่างไรก็แล้วแต่
                การใช้พระราชอำนาจผ่านหัวหน้าฝ่ายบริหารที่ อานันท์ มีประสบการณ์โดยตรงมีธรรมเนียมปฏิบัติ ที่ชัดเจน
                ถ้าจะให้ท่านลงพระปรมาภิไธย เรื่องแต่ละเรื่องนั้น ท่านก็ต้องทราบที่มาที่ไป เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องเข้าเฝ้าฯเป็นการส่วนพระองค์ เป็นหน้าที่ที่เรียกว่า ถวายงาน อย่างเช่น มีพระราชบัญญัติสำคัญ ก็ต้องไปกราบบังคมทูลท่านว่ามีจำนงอย่างไร จะมีผลบังคับใช้ในทางใด หรือถ้าเป็นงานบริหารจะมีโครงการอะไร อย่างสร้างเขื่อนที่ไหน ต้องไปกราบบังคมทูลรายงานท่าน ระหว่างรายงานท่านก็ไปขอคำปรึกษาท่านด้วย ถ้าไม่ไปถามท่านท่านก็ไม่ให้นะ
                พระองค์มีพระราชอำนาจที่จะพระราชทานคำปรึกษา คือต้องมีคนไปรายงาน และไปถามความเห็นก่อน ท่านถึงจะพระราชทานคำปรึกษาแต่ไม่ใช่ว่าเป็นลักษณะที่เอาอันนั้น ไม่เอาอันนี้ไม่ใช่นะ เป็นการคุยกันเพื่อให้ทราบถึงเรื่องว่ามันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร ผลจะเป็นอย่างไร ระหว่างนั้นท่านอาจเตือนสติบางอย่าง ท่านอาจให้กำลังใจ
                ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงต้องเคร่งครัดระมัดระวังไม่ให้เกิดการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
                ลักษณะของการเข้าเฝ้าฯ เมื่อสนทนากันเสร็จแล้วนายกฯ ไม่ออกมาพูดในที่สาธารณะ เพราะถ้าถ่ายทอดมาผิด พระองค์ท่านเสียนะ แล้วพวกท่านมาปฏิเสธก็ไม่ได้ นายกฯบางคนก่อนเข้าเฝ้าฯ ก็บอกว่าจะไปเรื่องอะไร ออกมายังพูดต่ออีก แล้วพูดผิดด้วย จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็จะทำให้สถานะของพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องของการอยู่เหนือการเมืองก็ดี เหนือความขัดแย้งก็ดี ทำให้พระองค์ท่านอยู่ในฐานะลำบาก
                จะมาบอกว่า ท่านเห็นด้วยกับเรื่องนี้ จะเห็นด้วยหรือไม่ คนที่ไปเข้าเฝ้าฯไม่มีสิทธิมาพูด และการสนทนาระหว่างพระเจ้าอยู่หัวกับนายกรัฐมนตรีประมาณ 80%จะหายไป ระหว่างนั้นก็ไม่มีการจดบันทึก นายกฯก็ไม่มีสิทธิจะพูดนอกจากพระราชบัญญัติที่จะเสนอขึ้นไป ก็อาจจะนำมาเล่ากับรัฐมนตรีบางคนเท่านั้น
                การเป็นนายกรัฐมนตรีต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการเข้าเฝ้าฯ อย่ามาใช้ประโยชน์จากการเข้าเฝ้าฯ และอย่าทำให้สถานะของพระองค์ท่านอยู่ในที่ล่อแหลม ภาษาธรรมดาเขาบอกว่า อย่าทำให้ระคายเคืองพระยุคลบาท แต่ความหมายคือ อย่ามาอ้าง
                อดีตนายกรัฐมนตรี จึงทั้งสลดใจ-แปลกใจที่ได้ยินการ อ้าง อย่างไม่บังควร
                ตลอดเวลาที่ผมเป็นนายกฯ 2 ครั้ง ครั้งแรก 1 ปี 5 เดือน ครั้งที่ 2 ราว 5-6 เดือน พระองค์ท่านไม่เคยก้าวก่ายเรื่องการเมืองเลย ไม่เคยเลย บางครั้งผมถึงสลดใจที่คนชอบอ้างต่างๆนานาและในสังคมไทย พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพรัก เป็นที่สักการบูชา แต่ก็มีความพยายามที่จะดึงสถาบันลงมา ดึงพระเจ้าอยู่หัวลงมาให้เปรอะเปื้อน
                พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้มีบารมีมาก ไม่ได้เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับไหนเลย แต่เป็นบารมีที่ท่านสะสมมาจากการปฏิบัติพระองค์ท่านในฐานะพระมหากษัตริย์ สนใจกับกิจกรรมที่ท่านทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวสยาม ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มาท่านทำเรื่องทุกข์สุขของประชาชน และความมั่นคงของประเทศชาติ
                ในช่วงเวลา 7-8 ปี ที่ผ่านมา จึงมีปรากฏการณ์-ธรรมเนียม ที่ต่างไปจากอดีต ที่เมื่อนายกรัฐมนตรีมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ แล้วถูกนำออกมาบอกเล่า
                จริงๆ ไม่ควรมีข่าวอะไรมาก นอกจากข่าวพระราชสำนัก และเข้าเฝ้าฯ มาแล้วอาจมีการบอกเล่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสายงานที่ต้องไปทำต่อ ท่านไม่เคยแสดงว่าท่านต้องการอะไร ตั้งแต่สมัยก่อน 30-40 ปี แต่เวลามีรัฐประหารทีไรก็จะมีข่าวออกมาเสมอว่า เรื่องนี้ได้ไฟเขียวจากพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ผมคิดว่ามันแปลก และไม่จริง
                หรือเมื่อเร็วๆนี้ ทักษิณ (ชินวัตร) ก็เพิ่งให้สัมภาษณ์เรื่องเหตุการณ์ก่อนปฏิวัติ 19 กันยายน 49 ผมว่ามันเป็นเรื่องเพ้อฝันที่ไม่น่าเกิดขึ้น และมันไม่เป็นความจริง
                เป็นเรื่องที่ใครก็ตาม ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้บ้าง ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรเปิดเผย เพราะฉะนั้น เป็นการเอาเปรียบพระเจ้าอยู่หัวนะ นายกรัฐมนตรีบางคนถึงขนาดเอากล้องทีวีไปถ่ายเพื่อให้คนดูได้ยินว่าคุยอะไรกับพระเจ้าอยู่หัวเรื่องอะไร ซึ่งไม่ถูก ไม่เหมาะสมที่จะทำ
                ในยุคความขัดแย้งลงลึกถึงระดับปัจเจกเข้าถึงครอบครัว อานันท์ ไม่มองแบ่งแยก แต่รวบรวมประเด็นปัญหาจาก ระบบ ไปถึงตัวบุคคล
                ถ้ามีระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องสมบูรณ์จะลดปัญหาคอร์รัปชั่นไปได้ หากนายกรัฐมนตรีไม่โกงคนหนึ่ง ประเทศก็จะดีขึ้นเยอะ เหมือนคำที่ว่า ถ้าหัวไม่ส่ายหางก็ไม่กล้าขยับ แต่ถ้าหัวส่าย หางยอ่งแกว่งใหญ่เลย ถ้านายกฯไม่กิน รัฐมนตรีไม่กิน นักการเมืองจะกินก็เหนื่อย นักธุรกิจก็เช่นกัน
                ปัญหาสังคมไทยไม่ใช่เรื่องคอร์รัปชั่นอย่างเดียวนะ อาจมีคนดีตั้งใจ แต่ทำงานไม่เป็น ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ หรือคนทำงานเก่งแต่ขี้โกง ก็เหนื่อยอีก

    “พระราชินี” พระคู่บารมี “ในหลวง” ของปวงชนชาวไทย

    วันอาทิตย์ 9 สิงหาคม 2552
    บทความโดย ผศ.นพ.ภากร จันทนมัฎฐะ

    พระราชินี ในหลวง
     ข้าพเจ้าเป็นเพียงอาจารย์แพทย์โรคหัวใจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในรพ.รามาธิบดี เมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้าได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” ให้เป็นแพทย์ติดตามเสด็จ และนับเป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ชีวิตที่ดีที่สุดของข้าพเจ้า


    "หากคนไทยไม่สนใจสิ่งที่พระองค์ทรงสอน และกระทำเป็น
    แบบอย่าง หากสังคมไทยยังคงปล่อยปละให้ผู้คน
    ดูหมิ่นจาบจ้วงพระองค์โดยไม่ทำอะไร และยังคงปลูกฝัง
    ระบบทุนนิยมสามานย์ให้แก่ลูกหลานของเรา
    จุดจบของประเทศไทย คงไม่พ้นช่วงชีวิตของเรา"

     ครั้งแรกที่ได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทนั้น ข้าพเจ้าทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวล แต่ด้วยพระจริยวัตรที่งดงามและเป็นกันเอง ทำให้ข้าพเจ้าคลายความประหม่าและความกังวลลงไปได้ แม้หลายครั้งจะเหน็ดเหนื่อยจากภารกิจ แต่ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ความงดงามของการมองชีวิตจากพระองค์ท่าน ก่อนหน้านี้ เมื่อข้าพเจ้าดูข่าวในราชสำนัก โทรทัศน์มักถ่ายทอดโครงการต่างๆของท่าน และจบแต่เพียงเท่านั้น แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ส่วนที่ดีที่สุด เริ่มต้นหลังจากนั้น นั่นคือ ช่วงเวลาที่พระองค์ท่านประทับอยู่กับราษฎรหลังจากทรงตรวจเยี่ยมโครงการต่างๆเสร็จแล้ว เพื่อมอบความช่วยเหลือให้แก่ประชาชนของพระองค์
     พระราชินี ในหลวง ข้าพเจ้าได้เห็น “สมเด็จพระราชินี” ประทับนั่งพับเพียบกับพื้น และไถ่ถามราษฎรถึงความทุกข์ยากของเขาเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง ทั้งที่พระชนมายุเพียงนี้แล้ว แต่หลายครั้งที่พระองค์ทรงงานนานถึง 6 ชั่วโมงโดยมิได้ลุกเลย เพื่อให้การดูแลผู้ยากไร้อย่างดีที่สุด ครั้งหนึ่งข้าพเจ้านั่งใกล้พระองค์ท่าน จนได้ยินการสนทนา และทราบว่า หญิงชาวบ้านผู้มาเข้าเฝ้านั้นมีความทุกข์เรื่องหนี้สิน สามีจากเธอไป และทิ้งเธอให้เผชิญหนี้สินตามลำพัง พร้อมด้วยลูกเล็กๆอีก 2 คน ข้าพเจ้ามองเห็นว่า ความทุกข์ยากแห่งชีวิตได้ฝากริ้วรอยไว้บนใบหน้าของเธอมากเพียงใด ในแววตามีแต่ความสิ้นหวัง และลูกๆปราศจากความเบิกบานอย่างที่เด็กๆ ควรจะมี เมื่อรับสั่งถามว่า เป็นหนี้เท่าไร เธอผู้นั้นไม่ยอมตอบเพียงแต่ทูลว่า หนี้นั้นมากมายเหลือเกิน และข้าพเจ้าได้ยินสมเด็จพระราชินี รับสั่งว่า ไปบอกเจ้าหนี้นะคะ ว่าพระราชินีจะใช้หนี้ให้ ข้าพเจ้าถึงกับน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ผู้สูงศักดิ์ที่สุดของแผ่นดิน ประทับอยู่ท่ามกลางชาวบ้านยากไร้ ทรงมอบความรัก ความช่วยเหลือให้เด็กๆจะได้รับขนมแจก, ผู้ป่วยจะมีแพทย์ดูแล, ผู้สูงอายุจะได้รับแว่นสายตา, ผู้ยากไร้จะได้รับพระราชทานความช่วยเหลือเรื่องทุนรอน ไม่มีผู้ใด ที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ข้าพเจ้าเคยสงสัยว่า ต้องใช้พระราชทรัพย์มากเพียงใด เพราะทุกครั้งที่ราษฎรนำผลผลิตของตนมา ก็ได้รับคำตอบว่า “พระราชินีรับซื้อทั้งหมดค่ะ” ข้าพเจ้าพบว่า พระองค์ต้องใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และเงินที่มีผู้ทูลเกล้าฯถวายเข้ามูลนิธิศิลปาชีพ หลายล้านบาทต่อวัน ช่วยเหลือผู้คนที่สังคมส่วนใหญ่พากันลืมเลือน ผู้คนที่ไม่มีโอกาส สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็น คือ สมเด็จพระราชินีได้คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้แก่คนยากไร้ ที่มิได้รับความใส่ใจจากผู้ใด ข้าพเจ้าเชื่อว่า ในสายพระเนตรของพระองค์ ผู้ที่ยากไร้ก็เป็นคนไทยที่พระองค์ทรงรัก ข้าพเจ้าเสียดายที่หลายครั้ง โทรทัศน์ไม่อาจถ่ายทอดความรัก ความเอื้ออาทรของพระองค์ได้
     ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระราชินีเสด็จไปหมู่บ้านห่างไกลติดชายแดนพม่า ข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ว่า ณ.หมู่บ้านไม่กี่ครัวเรือนแห่งนี้ ทำไมต้องเสด็จมาด้วย และข้าพเจ้าก็ได้รับคำตอบว่า หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากพม่าเข้าสู่ไทย การให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จะช่วยลดปัญหา ยาเสพติดให้แก่ลูกหลานไทย และยังช่วยอนุรักษ์ป่าต้นน้ำอีกด้วย ข้าพเจ้าจึงได้ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณทางอ้อมอันยิ่งใหญ่ ต่อข้าพเจ้าเองและปวงชนชาวไทย
     ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเห็นผลงานศิลปหัตถกรรม ต่างๆ และรู้สึกทึ่งในความวิจิตรงดงาม เมื่อสอบถามว่า เป็นผลงานของผู้ใด ก็ได้รับคำตอบว่า เป็นของชาวบ้าน ชาวเขาซึ่งไร้การศึกษา ในตอนแรกข้าพเจ้าเองไม่เชื่อ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้สอนเรื่องยิ่งใหญ่ให้แก่ข้าพเจ้า นั่นคือ ความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ พระองค์ทรงใช้ความอดทน ค่อยๆสอน จากชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ใดๆ สามารถสร้างงานศิลป์ที่คนไทยทั่วประเทศต้องภาคภูมิใจ ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นครูแพทย์ สมเด็จพระราชินีได้ปลูกฝังให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะศรัทธาในศักยภาพของผู้คน

    เมื่อคราวเสด็จไปเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านทุรกันดาร มีคุณลุงท่านหนึ่งมาขอรับพระราชทานความช่วยเหลือ พวกเราที่เป็นแพทย์จำได้ว่า คุณลุงท่านนี้ตามมา 2-3 แห่งแล้ว และขอรับพระราชทานความช่วยเหลือทุกครั้ง แพทย์ท่านหนึ่งจึงกล่าวตำหนิไป แต่สมเด็จพระราชินีทรงได้ยินและรับสั่งว่า อย่าไปว่าเขาเลยค่ะคุณหมอ เพราะเขาจนจึงได้ทำแบบนี้ หลายครั้งที่พระองค์ท่านทรงประสบเหตุการณ์ในทำนองนี้ แต่พระองค์ยังเชื่อมั่นในส่วนดีของผู้คนเสมอ ข้าพเจ้าเห็นว่า ทุกครั้งที่ประทับอยู่ท่ามกลางราษฎรที่ยากไร้ มีปัญหาต่างๆมากมายมาให้ทรงแก้ไข แต่สมเด็จพระราชินีทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขเสมอ แม้จะทรงงานหลายชั่วโมงต่อเนื่องโดยมิได้พัก พระองค์มิได้มีท่าทีเหนื่อยหน่าย พระองค์ทรงจำได้ แม้แต่ผู้ป่วยเล็กน้อยสักคน และมักตรัสถามแพทย์ถึงอาการผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์ด้วยความห่วงใยเสมอ ข้าพเจ้าพบว่า แม้คนที่ดูเล็กน้อยในสายตาของชาวโลก มีค่าเสมอในสายพระเนตรของพระองค์
    พระราชินี
    นี่เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่ข้าพเจ้าประทับใจในพระองค์ท่าน ชาวโลกต่างรู้ดีว่า ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์และพระราชินีที่ประเสริฐที่สุดในโลก แต่น่าเสียดาย…เสียดายที่คนไทยส่วนหนึ่งมองไม่เห็น แม้แต่บางคนในรามาธิบดีเอง กลับไม่ตระหนักว่า เรามีอาชีพ มีเงินเดือน มีเกียรติ เพราะเราทำงานใน รามาธิบดีทำงานภายใต้พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ท่าน หลายคนถูกปลุกปั่นให้เชื่อในหลักการของทุนสามานย์ ถูกกระแสสังคมครอบงำความคิดเรื่องทุนนิยม เห็นค่าดัชนีตลาดหุ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจ สำคัญกว่าความถูกต้อง ความเป็นธรรม และจริยธรรม

    “ในหลวง ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์”

    บทความ “ในหลวง ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์” แปลมาจาก “King of Thailand: More Than a Monarch” ของ สนิทสุดา เอกชัย เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 9 มิถุนายน 2549 ใน  http://www.bangkokpost.com/News/09Jun2006_news01.php
    ในหลวง-โบกพระหัตถ์-ภาพวาด
    “เสาหลักแห่งความมั่นคง”  “พ่อของแผ่นดิน”  “แสงสว่างนำทาง”  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นทุกอย่างที่กล่าวมาสำหรับประชาชนชาวไทย และทรงเป็นมากยิ่งกว่านั้น
    ชาวต่างประเทศที่มาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมักจะแสดงความแปลกประหลาดใจที่ได้รับรู้ถึงความรักเทิดทูนอย่างสูงของปวงชนชาวไทยที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัว แต่ความแปลกใจนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาได้รับรู้ถึงการอุทิศพระองค์เพื่อปวงชนชาวไทยมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะปวงชนชาวไทยที่มีความยากจน
    ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจได้ว่าสาเหตุที่ชาวไทยรักเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างมากก็เพราะพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจของพระองค์ สิ่งนี้คือสิ่งน่าชื่นชมที่สุดในสังคมซึ่งไม่มีสิทธิพิเศษทางชนชั้น  นั่นคือสิ่งที่คุณได้รับจากความอุทิศตนและการทำงานหนัก มิใช่จากสิทธิพิเศษอันได้มาโดยกำเนิด และโดยเหตุผลเช่นนี้ พระมหากษัริย์ไทยจึงทรงได้รับความรักเทิดทูนอย่างมากจากประชาชนของพระองค์เพราะพระองค์ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประชาชนอย่างมาก เป็นเหตุผลง่ายๆเช่นนั้นเอง
    แต่ความรักเทิดทูนที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างง่ายๆเช่นนั้นหรือเปล่า?
    พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวมักจะได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นกษัตริย์ที่ทรงงานหนักมากที่สุดในโลกซึ่งพระองค์ก็ทรงเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในระยะเวลา 60 ปีแห่งการครองราชย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริเริ่มต้นโครงการนับพันโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบทและเพื่อทำนุบำรุงสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายไปอย่างมากให้กลับฟื้นขึ้นมาใหม่
    ภายในระยะเวลาหกทศวรรษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละปีในพื้นที่ทุรกันดาร พระองค์เสด็จเยี่ยมเยียนชาวบ้านในทั่วทุกภูมิภาคเพื่อทรงรับฟังปัญหาของชาวบ้าน เพื่อทรงซักถามถึงสิ่งที่ชาวบ้านต้องการให้ช่วยเหลือเพื่อบรรเทาปัญหา และเพื่อส่งเสริมศักยภาพของพวกเขาโดยการให้การสนับสนุนทุกทางเพื่อให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตได้ด้วยตนเองในระยะยาว
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงใช้ความชื่นชอบในวิทยาศาสตร์ของพระองค์เพื่อประโยชน์ของประเทศโดยทรงคิดค้นหลากหลายเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมฉับพลัน น้ำเสีย การกัดเซาะของดิน การขาดแคลนพลังงาน และสาธารณสุข  และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงยังทรงสามารถติดตามสถานการณ์ของประชาชนของพระองค์อย่างใกล้ชิดด้วยมีพระประสงค์ให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลือเมื่อมีความต้องการ
    ดังนั้นความจงรักภักดีของพวกเราต่อพระองค์นั้นจึงลึกซึ่งและรับรู้ได้อย่างชัดเจน
    เรารู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแต่ความรักเทิดทูนในพระองค์ไม่ได้เพียงมาจากพระราชกรณียกิจของพระองค์แต่หากยังมาจากสิ่งซึ่งพระองค์เป็น
    ในสายตาของประชาชนชาวไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของคุณงามความดี เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ พระองค์ทรงทำให้ความศรัทธาของพวกเราในการทำความดียังคงอยู่ในยุคที่การเมืองที่สกปรกและการแก่งแย่งแข่งขันมีอยู่ทั่วไป
    ในหลวง พัฒนา พระราชดำริประเทศไทยในปัจจุบันแตกต่างจากประเทศไทยเมื่อ 60 ปีที่แล้ว จากประเทศสังคมเกษตรกรรมเรียบง่ายยึดถือค่านิยมในเรื่องของความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง ปัจจุบันได้กลายเป็นประเทศที่ถูกพัฒนาเป็นสังคมเมือง สังคมแห่งการบริโภคซึ่งเงินมีอำนาจมากที่สุด
    จากสังคมซึ่งผู้คนปฏิบัติตามมาตรฐานของสังคม มาเป็นสังคมวัตถุนิยมและสุขนิยม
    ประเทศไทยเองก็ประสบอุปสรรคปัญหาหลากหลายระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว เช่น สงครามเย็น กบฎคอมมิวนิสต์ การทำรัฐประหาร ความเสื่อมโทรมของธรรมชาติ การก่อจลาจลบนท้องถนน การทุจริตของรัฐบาล การล้มละลายทางเศรษฐกิจ ภัยสึนามิ และความไม่สงบสุขในภาคใต้
    ปัญหาต่างๆเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลและความไม่มั่นคง การที่ตำรวจมีปัญหาคอรัปชันและกระบวนการยุติธรรมมีปัญหาทำให้ศีลธรรมจรรยาหดหายไปจากสังคมเพราะประชาชนไม่สามารถพึ่งพากฎหมายได้ แต่ต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ส่วนตัวและความสามารถในการจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
    หากไม่มีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวกเราคงหมดสิ้นซึ่งศรัทธาของการทำความดีไปนานแล้ว
    เมื่อเรามีแต่นักการเมืองที่ทุจริตและวางอำนาจบาตรใหญ่ หัวใจของเรากลับเบิกบานขึ้นเมื่อเห็นพระเจ้าอยู่หัวของเราพระราชดำเนินไปยังหมู่บ้านอันห่างไกลอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยภายใต้แสงแดดที่แผดเผา หรือทรงนั่งบนพื้นดินเพื่อมีพระราชปฏิสันถารกับประชาชนทั่วไปโดยไม่ถือพระองค์ว่าพื้นจะเปรอะเปื้อนเพียงใด
    เมื่อเหล่าคนรวยและมีอำนาจนิยมที่จะโอ้อวดความมั่งคั่งของพวกเขา หัวใจของพวกเราก็อบอุ่นเมื่อได้รับรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงใช้สิ่งของซึ่งผลิตภายในประเทศ รองเท้ากีฬาธรรมดา ไม่ทรงทิ้งดินสอที่ใช้แล้วเพียงครึ่งหนึ่ง ทรงเสวยข้าวซ้อมมือแม้ว่าข้าวซ้อมมือมักจะถือกันว่าเป็นอาหารสำหรับนักโทษ และทรงรับสุนัขข้างถนนเป็นสุนัขทรงเลี้ยง
    เมื่อสุขนิยมได้กลายเป็นสิ่งซึ่งครอบงำคนในชาติ การได้รับรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้มีความรอบคอบไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งจึงเป็นเรื่องที่ดี
    เมื่อมีไม่กี่คนที่กล้าที่จะเข้าไปยังบางพื้นที่ เช่นพื้นที่ที่มีความไม่สงบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่นั้นเนื่องจากพื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่ที่ต้องการได้รับการช่วยเหลือมากที่สุด
    เมื่อประเทศแสดงความไม่เต็มใจในการยอมรับชนกลุ่มน้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จไปเยี่ยมเยียนพวกชนกลุ่มน้อยนั้นเพื่อให้ปวงชนชาวไทยทั้งชาติรู้ว่าพวกเขาต้องเป็นมิตรต่อกันหากต้องการให้เกิดความสงบสุขสันติ
    เมื่อมีปัญหาเศรษฐกิจอันเกิดจากความละโมบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสเรื่องปรัชญาศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้คนในประเทศกลับมามีจิตสำนึก
    เราได้เห็นความงดงามของความเรียบง่ายในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราได้เห็นความกล้าหาญ การให้โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความมานะบากบั่น และพระจริยวัตรทางศาสนาอันงดงาม
    เมื่อเรารู้สึกใกล้ชิดกับพระองค์ เราย่อมรู้สึกถึงความดีงามของพระองค์ซึ่งทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากยิ่งขึ้นในขณะที่เรายังคงติดอยู่กับโลกของการแข่งขันและความเห็นแก่ตัว
    เราอาจรู้สึกสิ้นหวังกับความถดถอยของศีลธรรมจรรยาของคนในประเทศ เราอาจรู้สึกผิดหวังกับตัวเราเองเมื่อเราไม่สามารถทัดทานกับสิ่งยั่วยวนต่างๆที่อยู่รอบตัว แต่เราไม่เคยห่างหายจากการทำความดี นั่นเป็นเพราะพระเจ้าอยู่หัวของเรา
    เพราะสิ่งซึ่งพระองค์ทรงเป็น เรารู้ว่าเราจะต้องเพียรพยายามที่จะเป็นคนเช่นไร
    ชีวิตอาจจะเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม และเราอาจจะอ่อนแอและไม่สมบูรณ์พร้อม แต่เมื่อเรารู้ว่าเราได้รับความรักจากบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นแบบอย่างของความดีงาม จะทำให้เรามีพลังอันมหัศจรรย์ที่จะเผชิญหน้าต่อสิ่งใดๆก็ตามที่อาจเกิดขึ้นได้ ที่จะได้เดินตามรอยเท้าพระองค์ ที่จะได้ค้นพบความดีงามในตัวเราเองอีกครั้งหนึ่ง
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นมากยิ่งกว่ากษัตริย์ ทรงเป็นเพียงบุคคลเดียวที่ทำให้เรากลับมามีความเชื่อในมนุษยธรรมและมีความเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้งในยามที่เรามีความทุกข์เข็ญและหมดหวัง และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เรารักและเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวของเรายิ่งนัก

    พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู

    พ.อ.พิเศษ ทองคำ ศรีโยธิน
    สำนักข่าวเจ้าพระยา
     
    วันอังคาร 3 สิงหาคม 2553 10:11


    ลูกๆทุกคน…ควรรู้ว่า ความหวังของแม่ที่มีต่อลูกมี 3 หวังคือ
    ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
            ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
               เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
                 หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ

    บุคคลที่เป็นยอดกตัญญูที่ประทับใจมากที่สุด
    คือคนในภาพนี้…..ในหลวงของเรา….
    หวังที่1  ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้ ใครเคยเห็นภาพที่ สมเด็จย่าเสด็จไปในที่ต่างๆ แล้วมีในหลวง ประคองเดินไตลอดทาง เคยเห็นไหมใครเคยเห็น กรุณายกมือให้ดูหน่อย ขอบคุณ เอามือลง
         ในหลวง…นอกจากจะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลก เป็น KING OF THE KINGS แล้ว ในหลวงของเรายังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย ความหวังของแม่ ทั้ง 3 หวัง ในหลวงทรงปฏิบัติได้ครบถ้วน…สมบูรณ์เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดให้แก่พวกเรา ในหลวงทำกับแม่ยังไง ตามอาจารย์มา อาจารย์จะฉายภาพให้เห็น
    ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย มีคนเยอะแยะ มีทหาร มีองครักษ์ มีพยาบาล ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่ แต่ในหลวงบอกว่า ไม่ต้อง คนนี้ เป็นแม่เรา เราประคองเอง  ตอนเล็กๆแม่ประคองเราสอนเราเดิน หัดให้เราเดิน เพราะฉะนั้น ตอนนี้แม่แก่แล้ว เราต้องประคองแม่เดินเพื่อเทิดพระคุณท่าน ไม่ต้องอายใคร เป็นภาพที่ ประทับใจมาก เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดินท่านกตัญญูต่อแม่ ประคองแม่เดิน ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ สองข้างทาง ฝั่งนี้ 5000 คน ฝั่งนู้น 8000คน ยกมือขึ้น สาธุ แซ่ซ้อง สรรเสริญว่า กษัตริย์ยอดกตัญญู ในหลวง เดินประคองแม่ คนเห็นแล้ว เขาประทับใจ ถ่ายรูป เอามาทำปฎิทิน เอาไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อแสดงความเคารพกราบไหว้ ลองหันมาดูพวกเรา ส่วนใหญ่เวลาออกไปไหนลุกชายแต่งตัวโก้  ลุกสาวแต่งตัวสวย แต่เวลาเดิน ไม่มีใครประคองแม่ กลัวไม่โก้ กลัวไม่สวย ข้าราชการ แต่งเครื่องแบบเต็มยศ ติดเหรียญตรา เหรียญกล้าหาญ เต็มหน้าอก แต่เวลาเดิน ไม่กล้าประคองแม่ กลัวไม่สง่า กลัวเสียศักดิ์ศรี ประคองแม่เป็นเรื่องของคนใช้ หลายคน ให้ประคองแม่ไม่กล้าทำ อาย แต่เวลาทำดี ไม่กล้าทำ อาย  ,เวลาทำชั่ว กล้าไม่อาย  ใครเห็นภาพนี้ที่ไหนกรุณาซื้อใส่กรอบ แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน เอาไว้สอนลูก เห็นภาพชัดไหมครับ
                    เท่านั้น ยังน้อยไป มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า เสร็จสิ้นลงแล้ว ราชเลขาของสมเด็จย่า มาแถลงในที่ประชุม ต่อหน้าสื่อมวลชนว่า ก่อนสมเด็จย่าสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นอายุ 93  ในหลวง เสด็จจากวังสวนจิตร ไปวังสระประทุมตอนเย็นทุกวัน ไปทำไมครับ ไปกินข้าวกับแม่ ไปคุยกับแม่ ไปทำให้แม่ ชุ่มชื่นหัวใจ พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง
                    โอ้โห้ ขนาดนี้เชียงหรือในหลวงของเราเสด็จไปกินข้าวมือเย็นกับแม่ สัปดาห์ละกี่วัน  5 วัน มีใครบ้างครับ ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ สัปดาห์ละ 5 วัน หายาก….
                    ในหลวงมีโครงการเป็นร้อย เป็นพันโครงการ มีเวลาไปกินข้าวกับแม่ สัปดาห์ละ 5 วัน พวกเรา ชี 7 ชี 8 ชี 9 ร้อยเอก พลตรี อธิบดี ปลัดกระทรวง ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่ บอกว่างานยุ่ง แม่บอกว่า ให้พาไปกินข้าวหน่อย บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ เห็นตัวเองหรือยัง
                    พ่อแม่ พอแก่แล้วก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ฝนตก น้ำเซาะ อีกไม่นานก็โค่น พอถึงวันนั้น เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว  ในหลวงจึงตัดสินพระทัย ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน เมื่อตอนที่สมเด็จย่าอายุ  93 สัปดาห์หนึ่ง  มี 7 วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่  5 วัน อีก 2 วัน ไปไหนครับ ดร.เชสว์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี บอกว่า ในหลวงถือศีล8 วันพระ ถือศีล 8 นี่ยังไง ต้องงดข้าวเย็น เลยไม่ได้ไปหาแม่ วันนี้ เพราะถือศีล อีกวันหนึ่งที่เหลือ อาจจะกินข้าวกับพระราชินี กับคนใกล้ชิด แต่ 5 วัน ให้แม่ เห็นภาพแล้วใช่ไหม
                    ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ๆหน่อยไปดูตอนกินข้าว ทุกครั้ง ที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า ในหลวงต้องเข้าไปกราบที่ตัก แล้วสมเด็จย่า ก็จะดึงตัวในหลวง เข้ามากอด กอดเสร็จก็หอม ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า หอมแก้มในหลวงบ้าง ภาพนี้ ถ้าใครมี ต้องเอาไปใส่กรอบ เป็นภาพความรักของแม่ ที่มีต่อลูก อย่างยอดเยี่ยม ตอนสมเด็จย่า หอมแก้มในหลวง อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวง คงไม่หอมเท่าไร เพราะไม่ได้ใสน้ำหอม แต่ทำไม สมเด็จย่าหอมแล้ว  ชื่นใจ เพราะท่านไม่ได้กลิ่นหอม จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญู
                    ตัวแม่เองคือ สมเด็จย่า ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดา  สามัญชน เป็นเด็กหญิง สังวาล เกิดหลังวัดอนงค์ เหมือนเด็กหญิงทั่วไป เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
                    ในหลวงน่ะ เกิดมาเป็นพระองค์เจ้า เป็นลุกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน อยู่เหนือหัว แต่ในหลวง ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก้มลงกราบ คนธรรมดา ที่เป็นแม่ หัวใจลูก ที่เคารพแม่ กตัญญูกับแม่อย่างนี้หาไม่ได้อีกแล้ว
                    คนบางคน พอเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่ เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำเป็นชาวนา เป็นลูกจ้าง ไม่เคารพแม่ ดูถูกแม่
                    แต่ ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว นี่แหละครับ ความหอมนี่คือเหตุที่สมเด็จย่า หอมแกมในหลวงทุกครั้ง ท่านหอมความดี หอมคุณธรรม หอมกตัญญู ของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้วก็ร่วมโต๊ะเสวย
                    ตอนกินข้าวนี้ ปกติ แค่เห็นลูกมาเยี่ยมก็ชื่นใจแล้ว นี่ลุกมากินข้าวด้วย โอย ยิ่งปลื้มใจ แม่ทั้งหลาย ลองคิดดูสิ อะไรอร่อยๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่ อันนี้อร่อย แม่ลองทาน รู้ว่าแม่ชอบทานผัก หยิบผักม้วนๆใส่ช้อนแม่ เอ้าแม่ แม่ทานซะ ของที่แม่ชอบ แทนที่จะกินแค่3 คำ  4 คำก็เจริญอาหาร กินได้เยอะ เพราะมีความสุขที่ได้กินข้าวกับลูก มีความสุขที่ลูกดูแล เอาใจใส่
                    กินข้าวเสร็จแล้ว ก็มานั่งคุยกับแม่ ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง ทราบไหม  ตอนในหลวงเล็กๆ แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ .”อยากฟังแม่สอนอีก”  เป็นยังไงบ้าง
                    เป็นกษัตริย์ ปกครองประเทศ อยากฟังแม่สอนอีก พวกเราเป็นยังไง เราคิดว่า เรารู้มาก เราเรียนสูง เรามีปริญญา แม่จบ ป. 4  เวลาแม่สอน ตะคอกแม่ ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่ เบื่อจะตายอยู่แล้ว รำคาญ พูดจาซ้ำซาก เมื่อไรจะหยุดพูดเสียที เราเหยียบย่ำหัวใจแม่
                    สมเด็จย่าสอน ในหลวงจะเอากระดาษมาจด  มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่จำได้แม่น สมเด็จย่าเล่าว่า ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss ในหลวงยังเล็กอยู่ เข้ามาบอกว่า อยากได้รถจักรยาน เพื่อนๆเขามีจักรยานกัน
                    แม่บอกว่า “ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็เก็บสตางค์ ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้สิ ” เก็บมาหยอดกระปุก วันละเหรียญ สองเหรียญ พอได้มากพอ ก็เอาไปซื้อจักรยาน นี่คือสิ่งที่แม่สอน แม่สอนอะไรทราบไหมครับ
                    ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน พอลุกขอ รีบกดปุ่ม  ATM ให้เลย ประเคนให้เลย ลูกก็ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย เหลิง และหลงตัวเอง พอโตขึ้น ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ ก็ได้ ยิงตำรวจ ยังได้ เพราะหลงตัวเอง พ่อตนใหญ่ เห็นไหม  ตามใจเทิดทูนจนเสียคน
                    แต่สมเด็จย่านี่ เป็นยอดคุณแม่ สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก ลูกอยากได้ ลุกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้ ไปหย่อนกระปุก แม่สอนสองเรื่องคืน ให้ประหยัด ให้ยืนอยู่บนขาตัวเอง
                    ใครสอนให้ลูกประหยัดได้ คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก
                    พอถึงวันปีใหม่ สมเด็จย่าก็ว่า ปีใหม่แล้ว เราไปซื้อจักรยานกัน เอ้า แคะกระปุกดูวิมีเงินเท่าไร เสร็จแล้ว สมเด็จย่าก็แถมให้  ส่วนที่แถมนะ มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก มีเมตตาให้เงินลูก  ให้ ..ไม่ได้ให้เปล่า สอนลูกด้วย สอนให้ประหยัด สอนว่า อยากได้อะไร ต้องเริ่มจากตัวเรา คำสอนนั้น ติดตัวในหลวงมาจนทุกวันนี้ เขาบอกว่า ในสวนจิตรเนี่ย คนที่ประหยัดที่สุดคือ  ในหลวง ประหยัดที่สุด ทั้งน้ำ ทั้งไฟ เรื่องฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยไม่มี เป็นอันว่า ภาพนี้ชัดเจน
    หวังที่ 2  ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา 
    ดูว่าในหลวง ทำกับแม่ยังไง สมเด็จย่าประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช  ในหลวง ไปเยี่ยมตอนไหนครับ ไปเยี่ยมตอนตี 1  ตี 2 ตี 4  เศษๆ จึงเสด็จกลับ ไปเฝ้าแม่วันละหลายชั่วโมง
                    แม่เห็นลูกมาเยี่ยม ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว ทีมแพทย์รักษาสมเด็จย่า เห็นในหลวงมาเยี่ยมมาประทับก็ต้องฟิต ตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอดเวลา ว่าจะให้ยายังไง จะเปลี่ยนยาไหม จะปรับปรุงการรักษายังไงให้ดีขึ้น เห็นภาพไหม
                    กลางคืน ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า คืนละหลายชั่วโมง ไปให้ความอบอุ่นทุกคืน  ลองหันมาดูตัวเองซิ ตอนพ่อแม่ป่วย โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง ถามว่า ตอนนี้ อาการเป็นอย่างไรบ้าง พ่อแม่ ยังไม่ทันตอบเลย ฉันมีธุระยุ่งต้องไปแล้ว โผล่หน้าเข้าไปให้เห็นพอแค่เป็นมารยาท แล้วก็กลับ เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู เพราะไมได้ไปเพื่อแทนพระคุณท่าน น่าอายไหม
                    ในหลวง เสด็จไปประทับกับแม่ ตอนแม่ป่วย ไปทุกวัน ไปให้ความอบอุ่น ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง นี่คือ  สิ่งที่ในหลวงทำ คราวหนึ่ง ในหลวงป่วย สมเด็จย่า ก็ป่วย ไปอยู่ศิริราชด้วยกัน อยู่คนละมุกตึก ตอนเช้า ในหลวงเปิดประตู แอ๊ด ออกมา พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่า ออกมารับลมผ่านหน้าห้อง พอดีในหลวง พอเห็นแม่ รีบออกจากห้อง มาแย่งพยาบาลเข็นรถ มหาดเล็กกราบทูลว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้วในหลวงมีรับสั่งว่า
    “แม่ของเรา… ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น…เราเข็นเองได้”
                    นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นกษัตริย์ ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ยังมาป้อนข้าว ป้อนน้ำให้แม่ ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่ เลี้ยงหัวใจแม่ ยอดเยี่ยมจริงๆ เห็นภาพนี้แล้ว ซาบซึ้ง
    หวังที่ 3.  เมื่อถึงยามต้องตาย วายชีวา หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ 
                    วันนั้นในหลวง เฝ้าสมเด็จย่าอยู่จนถึงตี 4 ตี5 ฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน จับมือแม่  กอดแม่ ปรนนิบัติแม่ จนกระทั่งแม่หลับ จึงเสด็จกลับ
                    พอถึงที่ประทับ เขาโทรศัพท์มาบอกว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์ ในหลวงรีบเสด็จกลับไปศิริราช เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง ในหลวงทำยังไงครับ ในหลวงตรงเข้าไป คุกเข่า กราบลงที่อกแม่ พระพักต์ในหลวง ตรงกับหัวใจแม่
    “ขอหอมหัวใจแม่ เป็นครั้งสุดท้าย”
                    ซบหน้านิ่ง อยู่นาน แล้วค่อยๆ เงยพระพักต์ขึ้น น้ำพระเนตรไหลนอง
    ต่อไปนี้ จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว เอามือ กุมมือแม่ไว้ มือนิ่มๆที่ไกวแม่นี้แหละที่ปั้นลูกจะได้เป็นกษัตริย์ เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง ชีวิตลูกแม่ปั้น
                    มองเห็นหวีปักอยู่ที่ผมแม่ ในหลวงจับหวี ค่อยๆ หวีผมให้แม่ หวี หวี หวี หวีให้แม่ สวยที่สุด แต่งตัวให้แม่ ให้แม่สวยที่สุด ในวันสุดท้ายของแม่
                    เป็นภาพที่ประทับใจเป็นที่สุด เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว
    “พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู”
    ของพระองค์จงทรงพระเจริญ