วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การประยุกต์ใช้ความรู้

การประยุกต์ใช้เทคนิควิทยา ก็มีลักษณะไม่แตกต่างไปจากการประยุกต์ใช้ความรู้ทั่วไปนั่นคือ วิทยาการและเครื่องมือกลเหล่านี้ เมื่อนำมาปฏิบัติการแล้ว จะต้องได้ผลอย่างสูงทุกครั้งไป คือถ้าใช้ถูก ก็ทำให้ได้ประโยชน์มาก ถ้าใช้ไม่ถูก ก็ทำให้เสียหายได้มากเท่าๆกัน (๑เมษายน ๒๕๒๕)
การประยุกต์ที่ได้ผล ก็คือ การพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะทำการใดๆ
 ทางแห่งความเจริญ คือ การพิจารณา การพิจารณานั้น เป็นการหยุดยั้งชังใจก่อนที่จะปฏิบัติการใดลงไปเสมือนกับได้ปรึกษากับตนเองก่อนถ้าหากทำสิ่งใดโดยมิได้พิจารณาแล้ว ก็อาจจะตกเป็นเหยื่อแห่งอารมณ์ บังเกิดความประมาทขึ้น อันจะเป็นผลเสียหายแก่กิจการนั้นๆ ได้ ฉะนั้น ขอให้ทุกคนจงใช้ความพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนที่จะประกอบกิจใดๆ (๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑)

แม้ว่า การพิจารณาเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงให้พระบรมราโชวาทเพิ่มเติมว่า เพื่อให้บังเกิดผลที่แท้จริง การพิจารณาก็ต้องกระทำในลักษณะหนึ่ง ดังมีรายละเอียดแสดงไว้ในพระราชดำรัสบางส่วนที่ทรงพระราชทานให้แก่ สามัคคีสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการเปิดประชุมใหญ่ปี ๒๕๒๓ เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๒๓ ดังนี้

การพิจารณาเรื่องราวหรือกิจการงานใดๆ นั้น ควรอย่างยิ่งที่จะต้องกระทำโดยละเอียดรอบคอบและเที่ยงตรงถูกต้องจึงจะได้ผลที่เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืนถาวร ท่านผู้รู้แต่ก่อนได้วางหลักสั่งสอนกันสืบๆ มาว่า เมื่อจะพิจารณาสิ่งใดเรื่องใดให้วางใจของตัวให้เป็นกลาง คือปลด อคติความลำเอียงทุกๆ ประการออกจากใจให้หมดก่อน แล้วเข้าไปเพ่งพินิจดูสิ่งนั้นเรื่องนั้นให้ถี่ถ้วน จึงจะมองเห็นได้ประจักษ์ทุกแง่ทุกมุม ไม่ใช่เห็นแต่เพียง
แง่ใดแง่หนึ่งตามความชอบใจหรือไม่ชอบใจที่มีอยู่ เมื่อเห็นประจักษ์ทั่วด้วยใจที่เป็นกลางแล้ว ความรู้ที่ชัดเจนก็จะบังเกิดขึ้น และช่วยให้ลงความเห็นและปฏิบัติได้โดยถูกต้องเป็นธรรม...”

ความรู้นี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ

เพื่อการทำงานที่ประสบผลสำเร็จ ความรู้และความสามารถ (อันเกิดจากฐานความรู้ที่มีอยู่) ก็ย่อมเป็นปัจจัยพื้นฐานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังที่พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงให้ข้อคิดไว้ แต่ประเด็นที่ สำคัญกว่าเมื่อยอมรับข้อคิดนี้ก็คือปัจเจกบุคคล จะต้องมีความรู้ในลักษณะใด และจะต้องใช้ ความรู้ดังกล่าวอย่างไร
ความรู้อะไรนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ตราบใดที่เป็นความรู้ที่ตั้งอยู่บนฐานวิชาการ แต่ก็ต้องเป็นความรู้ที่เกิดจากการรู้จริง และที่สำคัญก็คือ ต้องมีการใฝ่รู้และการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ดังปรากฏเป็นนัยจากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า
ความรู้นี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะว่าแต่ละคนอยากได้ความเจริญ ถ้าทำอย่างที่เคยทำมาด้วย ความรู้เท่าที่เคยมี ก็ได้ความสำเร็จในวงจำกัด แต่ถ้าเพิ่มความรู้ และยิ่งช่วยกันทำความสำเร็จนั้นจะยิ่งใหญ่ขั้น...” (๑๑ กันยายน ๒๕๑๕)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีทัศนะว่า



การที่ปัจเจกบุคคลจะประสบความสำเร็จในชีวิตความมุ่งหมาย และจัดเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพสำหรับสังคม สำหรับประเทศไทยได้นั้นจะต้องมีองค์ประกอบหลักในสองด้านด้วยกัน คือ ปัจเจกบุคคลจะต้องเป็นผู้รู้
วิธีการทำงานที่ได้ผลเป็นประการแรก และบุคคลผู้นั้นจะต้องเป็นคนดีประการที่สองเมื่อกำหนดเงื่อนไขอื่นๆ ที่สมควรมีแล้ว การที่บุคคลหนึ่งๆ รู้วิธีการทำงานที่ได้ผลแล้ว ย่อมจัดเป็นบุคคลที่มีคุณภาพสูงกว่าผู้ที่ไม่รู้วิธีการทำงานที่ได้ผล โดยทำอะไรเป็นเรื่องราวไม่ได้หรือทำแล้วก็ไม่ประสบความสัมฤทธิ์ผลแต่อย่างใด แต่การจะทำงานให้ได้นั้น บุคคลผู้นั้นจักต้องมีคุณลักษณะต่างๆ หลายประการ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงกล่าวไว้ในพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ชาวไทยกลุ่มต่างๆ ในโอกาสที่ต่างกัน ถึงแม้ว่าปัจเจกบุคคลจะมีคุณสมบัติต่างๆ เพื่อการทำงานที่ได้ผลแล้วก็ตาม แต่โอกาสที่บุคคลผู้นั้นจะประสบความสำเร็จในการครองชีวิตนั้นก็ยังไม่มีหลักประกันแต่อย่างใดเว้นเสียแต่ว่า บุคคลผู้นั้นเป็นคนดีที่พร้อมด้วยคุณสมบัติลักษณะหนึ่งเท่านั้น คุณลักษณะของความเป็นคนดีนั้นมีรายละเอียดปรากฏในพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเช่นนั้น และจะได้นำเสนออย่างเป็นระบบภายหลังที่ได้นำเสนอเนื้อหาในส่วนที่ว่าด้วยคุณลักษณะของการทำงานที่บรรลุผล 



“ในการสร้างความสำเร็จ ความเจริญ และเกียรติยศชื่อเสียงนั้น บัณฑิตมีวิชาความรู้เป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพพร้อมอยู่แล้ว ที่จะนำไปใช้งานได้ทันที แต่นอกจากวิชาความรู้ที่เป็นเครื่องมือแล้ว ทุกคนยังจะต้องมีรากฐานรองรับ พร้อมกับวิธีการใช้อย่างถูกต้องเที่ยงตรงประกอบอีกด้วย จึงจะสามารถสร้างประโยชน์ให้สำเร็จเพรียบพร้อมสมบูรณ์ได้ รากฐานที่ทุกคนต้องมีนั้น ได้แก่ ความหนักแน่น มั่นคงในสุจริตธรรมประการหนึ่ง ความมุ่งมั่นในการประกอบกิจการงานทุกอย่างให้สำเร็จอีกประการหนึ่งคนไม่มีความสุจริต คนไม่มีความมั่นคง ชอบแต่มักง่าย ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่สำคัญอันใดได้ ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้น จึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ...” (๑๒ กรกฏาคม ๒๕๒๒)

ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ

คลิกที่ภาพขยายใหญ่ตามอัตราส่วน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
-ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมาเป็นเวลายาวนานกว่า 60 ปี ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ
 
มีพระอัจฉริยภาพสูงในการทรงงาน
-ทรงเป็นนักวิชาการที่ทรงถึงพร้อมด้วยความรู้ศาสตร์ต่างๆ
-ทรงเป็นนักคิด ทรงมีทักษะในการวิเคราะห์
-ทรงคิดได้อย่างแหลมลึก มองเห็นถึงปัญหาที่ซ่อนเร้นได้
-ทรงเป็นนักบริหารที่ทุ่มเททางานเพื่อประชาชน
-ทรงเป็นนักปฏิบัติที่เข้าใจชัดเจนในวิธีการและเทคนิคที่ใช้ทรงงาน จนเกิดเป็นโครงการ
  ส่วนพระองค์
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของ
  พสกนิกรของพระองค์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
- ทรงร่วมแก้ไขปัญหาด้านต่างๆทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำให้มั่นคง ทำให้ก้าวหน้า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงให้ความหมายของการพัฒนากับคณะเยาวชน จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.. 2513 ว่า
“...พัฒนา หมายถึง ทำให้มั่นคง ทำให้ก้าวหน้า การพัฒนาประเทศก็ทำให้ บ้านเมืองมั่นคงมีความเจริญ ความหมายของการพัฒนาประเทศนี้ก็เท่ากับตั้งใจที่จะทำ ให้ชีวิตของแต่ละคนมีความปลอดภัย มีความเจริญ มีความสุข...”

ความหมายของคำว่าความเจริญเป็นอย่างไร มีลักษณะและองค์ประกอบ อย่างไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานคำอธิบายไว้ในพระบรมราโชวาท พระราชทานแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.. 2520 ว่า
“...ความเจริญนั้นมักจำแนกกันเป็น 2 อย่างคือ ความเจริญทางด้านวัตถุ อย่างหนึ่งและความเจริญทางด้านจิตใจอีกอย่างหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นยังเห็นกันว่าความ เจริญอย่างแรกอาศัยวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นปัจจัยสร้างสรรค์ความเจริญ อย่างหลังอาศัยศิลปะ ศีลธรรม จรรยา เป็นปัจจัยแท้จริงแล้วความเจริญทางวัตถุกับ ความเจริญทางจิตใจก็ดี หรือความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์กับทางด้านศิลปะ ศีลธรรม จรรยา ก็ดี มิใช่สิ่งที่จะแยกออกจากกันให้เด็ดขาดได้ ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เราพยายามจะ แยกออกจากกันนั้นมีมูลฐานที่เกิดอันเดียวกันคือ ความสุขความพอใจของทุกคน ดังนั้นท่านทั้งปวงที่กำลังจะนำวิชาการออกไปสร้างความเจริญแก่ตน แก่ชาติ ควรจะ ได้ทราบตระหนักในข้อนี้ และควรจะถือว่าความเจริญทั้งสองฝ่ายนี้มีความสำคัญอยู่