วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

บทความ เรื่อง ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
โดย นศท.ณัฐรินทร์  รัตนะพิบูลย์ ชั้นปีที่ 3
โรงเรียนเบญจะมะมหาราช จังหวัดอุบลราชธานี

                ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ไทย เราจะเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักที่ยึดเหนี่ยวชาติของเราทุกยุคทุกสมัย และพระมหากษัตริย์ไทยแต่ละองค์นั้นก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้  ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่ทุกหนทุกแห่งในแผ่นดินไทยจะสามารถสัมผัสถึงความจงรักภักดีของประชาชนชาวไทยที่มีต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัวรัชกาลปัจจุบัน
                ผมเชื่อว่าคนไทยหลายคนอาจเคยได้อ่านหรือได้ฟังความยิ่งใหญ่ของพระราชาจากในนิทานเราจะเห็นได้ว่าพระราชาในนิทานนั้นล้วนมีคุณธรรม มีความกล้าหาญ มีความสามารถมากมายสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ก็เป็นเพียงนิทานสอนใจเราถึงแบบอย่างกษัตริย์ที่ทรงไว้ทศพิธราชธรรม แต่สำหรับผมนั้นยังมีจอมกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาอยู่พระองค์หนึ่งที่มิใช่เป็นเพียงจอมกษัตริย์ในนิทานนั่นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช “ พ่อ “ที่ปวงชนชาวไทยต่างรักและภักดีอย่างสุดหัวใจ ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์นั้นไม่มีแม้เพียงสักครั้งที่จะไม่เห็นพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนของพระองค์ในถิ่นทุรกันดาร จนอาจกล่าวได้ว่าแผ่นดินไทยตั้งแต่เหนือจรดใต้ยังไม่มีที่ใดที่พระองค์จะเสด็จไปไม่ถึง ความยิ่งใหญ่ของพระองค์จึงมิใช่สิ่งที่เราอ่านพบในนิทานเท่านั้น เพราะพระองค์ได้ทรงเป็นแบบอย่างแห่งจอมกษัตริย์ผู้เปี่ยมไปด้วยทศพิธราชธรรม ผมจึงรู้ซึ้งถึงคำมั่นสัญญาที่พระองค์ทรงให้ไว้กับปวงชนชาวไทยที่ว่า “ เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวไทย ” บัดนี้ได้เป็นที่ประจักษ์ต่อพสกนิกรชาวไทยของพระองค์แล้วว่า พระองค์ได้ทรงกระทำตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพสกนิกรของพระองค์มิได้บกพร่องแต่ประการใด
                สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกรักและเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคงไม่พ้น “ ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ” ผมมีความชื่นชมในแนวคิดของทฤษฎีเนื่องจากเป็นทฤษฎีการสร้างความสุขให้กับตัวเองได้ ดำรงชีวิตได้โดยไม่เดือดร้อนประเทศไทยเองก็เคยได้รับบทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้งมาแล้วก็ควรที่จะน้อมรับเอาทฤษฎีนี้้ไปปรับใช้กับตนเอง คอยเตือนสติตนเองว่าวิกฤษที่เกิดขึ้นครั้งนั้นเกิดจากการที่เราก้าวไปเร็วเกินไป ความฟุ่มเฟือยแสวงหาไม่รู้จักพอเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้เราต้องเดือดร้อน พระองค์จึงสอนให้คนไทยมี "ความพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันที่ดี" ความพอเพียงพอประมาณก็คือให้เราสำรวจตัวเองว่าเรามีกำลังทรัพย์เท่าไร ควรพอได้หรือยัง ความมีเหตุผลก็คือการที่เราต้องคิดให้รอบคอบว่าสิ่งที่เราต้องการนั้นมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด สุดท้ายคือการมีภูมิคุ้มกันที่ดีรู้จักระงับยับยั้งความอยากได้อยากมีของตนเอาไว้ เลือกเดินทางสายกลาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้พระองค์ได้ทรงสั่งสอนให้คนไทยทุกคนได้รับรู้รับทราบโดยทั่วกันแล้วว่าเป็นแนวทางการสร้างความสุขให้กับตนเองโดยไม่ต้องแลกมาด้วยสิ่งใด
                นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงให้ความสำคัญกับ"เกษตรทฤษฎีใหม่"โดยได้ทรงเปลี่ยนพระราชวังของพระองค์เองให้กลายเป็นแปลงสาธิตการเกษตร ทรงทำการทดลองเลี้ยงโคนม ปลานิล ทรงปลูกข้าวด้วยพระองค์เอง พระองค์จึงเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่ทรงทำการเกษตรด้วยพระองค์เองและทรงเปลี่ยนพระราชวังของพระองค์ให้กลายเป็นแปลงสาธิตเกษตร พระองคืจึงเป็นจอมกษัตริยืผู้อุทิศตนเพื่อปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง เมื่อได้ความรู้ใหม่มานั้นพระองค์ก็ยังทรงถ่ายทอดวิทยาการต่าง ๆที่ทรงได้ทดลองมานั้นให้กับเกษตรกรชาวไทย ส่งเสริมให้เกิดโครงการต่าง ๆขึ้นมากมายสร้างอาชีพ สร้ารายได้ กระจายสู่สังคมอย่างทั่วถึงส่งผลให้ลูกหลานชาวไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยังทรงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาจากภัยธรรมชาติอันเกิดจากสภาพแวดล้อมในภูมิภาคต่าง ๆทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างฝายชะลอน้ำ การปลูกกำแพงหญ้าแฝกพลิกฟื้นสภาพดิน การปลูกป่าชายเลนป้องกันน้ำทะเลกัดเซาะ โครงการฝนหลวง การบำบัดน้ำเสียในแม่น้ำด้วยผักตบชวา พระอัจฉริยภาพของพระองค์ในด้านการสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาของพระองค์จึงเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วทั้งโลกว่าพระองค์ทรงเป็น "ยอกกษัตริย์นักพัฒนา ผู้ประสบความสำเร็จในการพัฒนามนุษย์อย่างยั่งยืน" แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมากว่า 64 ปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานอย่างหนัดเพื่อพสกนิกรชาวไทยของพระองค์ แต่พระราชกรณียกิจ พระจริยวัตรอันงดงามที่พระองค์ทรงยึดถือปฏิบัติมาตลอดจะเป็นแบบอย่างจอมกษัตริย์ผู้ปี่ยมไปด้วยทศพิธราชธรรม เราในฐานะพสกนิกรชาวไทยผู้จงรักภักดีจึงควรถามตนเองได้แล้วว่าจะทำอย่างไรให้กับประเทศไทยมีความสงบสุข และร่วมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสรรค์สิ่งดีงามตามแนวพระราชดำริของพระองค์ท่านให้อยู่คู่กับผืนแผ่นดินไทยตราบนานเท่านาน

เทิดทูน ปกป้อง สถาบันหลัก


จะเหลืออะไรถ้าชาติมีคนชั่ว       จะเหลืออะไรถ้ามัวแต่ปิดกั้น
จะเหลืออะไรถ้าไม่ช่วยกันฝ่าฟัน   อุปสรรคที่ขวางกั้นให้พ้นไป
จะเหลืออะไรถ้าชาติขาดคนดี   จะเหลืออะไรแม้ชีวีที่มีอยู่
 จะเหลืออะไรถ้าไม่ช่วยกันกอบกู้   ช่วยเชิดชูชาติไทยให้รุ่งเรือง
จงร่วมมือร่วมใจสร้างไทยเถิด  ช่วยกันเชิดชูไทยให้เกียรติก้อง

           ในช่วงสถานการณ์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าค่อนข้างสับสนกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย ความเสื่อมถอยในด้านต่างๆของสังคมไทย การหลงลืมวัฒนธรรมประเพณีของความเป็นไทย การแตกความสามัคคีแบ่งสีแบ่งฝ่าย หลงลืมความมีน้ำใจของตนเอง หลงลืมความเป็นไทยที่มีจิตใจที่ดีงาม
            เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก ข้าพเจ้าถูกพร่ำสอนเสมอว่าเราต้องรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักความเป็นไทยของเรา ครูมักถามเสมอว่า ใครอยากเป็นทหารบ้าง เพื่อนๆของข้าพเจ้ายกมือกันพรึบ ซึ่งรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย ครูบอกว่า ทหารมีหน้าที่เป็นรั้วของชาติ ปกป้องอันตรายจากรอบด้านของประเทศไทย ให้คนไทยทุกคนได้อยู่อย่างสงบสุขบนผืนแผ่นดินไทย ซึ่งก็คือประเทศไทยที่ข้าพเจ้าเคยภาคภูมิใจว่า “เป็นประเทศที่ไม่เคยแพ้ชาติใดในโลก” เริ่มที่จะจางหายไป ประเทศไทยที่ข้าพเจ้าเคยคิดว่าเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ประเทศไทยที่มีอาหารอร่อยที่สุดในโลก ไม่มีประเทศไหนที่อร่อยไปกว่าประเทศไทยอีกแล้ว ประเทศไทยที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่าเมืองแห่งการยิ้ม หรือว่า “สยามเมืองยิ้ม” หายไปที่ใดแล้ว เหลือแต่ประเทศไทยที่มีแต่ความแตกแยก การเข่นฆ่ากันเองมีอยู่ทุกที่ทุกเวลา
            ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อสังคมไทยเราแตกแยก เราจำเป็นจะต้องปลูกจิตสำนึกให้ผู้คนรักแผ่นดินเกิด กตัญญูต่อแผ่นดิน กตัญญูต่อชาติ การปลูกจิตสำนึกการเป็นคนไทยของข้าพเจ้านั้น ก็มีหลายวิธี ทั้งการพูด การกระทำ และการร่วมใจกัน เพลงที่ปลูกจิตสำนึกความเป็นคนไทยนั้นก็มีอยู่มากมาย โดยเฉพาะเพลงชาติ ที่สื่อความหมายความเป็นชาติไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งเพลงลูกเสือเนตรนารี หรือเพลงอื่นๆ ที่สื่อความหมายให้คนรู้สึกรักแผ่นดินก็มีมากมายแต่พวกเราชาวไทยทุกคนก็จะต้องร่วมใจกัน เมื่อร่วมใจกันได้แล้ว ก็ร่วมกระทำร่วมปฏิบัติต่อกัน ร่วมฟื้นฟูแผ่นดินไทยของเราให้เป็นแผ่นดินใหม่ที่น่าอยู่ ร่วมประสานไมตรีจิตต่อกัน เพราะว่าเราคนไทยทุกคนมีศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติเหมือนกัน ก็คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ก็ยังมีสถาบันครอบครัว การศึกษา ชุมชน องค์กรท้องถิน องค์กรสาธารณะกุศลทั้งหลาย เป็นต้น ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าเราร่วมใจกันสร้างสรรค์ความสามัคคีแล้ว ก็มิใช่เรื่องยากเลย น่าจะทำควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของเราด้วย แก้ไขปัญหาคนว่างงาน โดยการอบรมหลักวิชาชีพให้เขาด้วย และก็ควรที่จะอบรมคุณธรรมจริยธรรม ความรักสามัคคีต่อกันควบคู่ไปด้วย แจกเงินแล้ว ก็ต้องแจกจิตสำนึกที่ดีให้กับสังคมด้วย เราต้องให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมืองไทยเรานั้นที่ได้ชื่อว่าเมืองแห่งการยิ้ม เมืองที่รักความสงบสุข ทำอย่างไรเราจะปลูกจิตสำนึกความเป็นคนไทย ให้คนไทยหันมายิ้มต่อกันได้ และรักที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ คนไทยทุกคนก็ควรที่จะช่วยกันทำ
        ที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าหากเราทุกคนช่วยกันทำ ไม่เกี่ยงกัน ไม่แบ่งพรรคแบ่งสีแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ควรจะตระหนักว่าเราอยู่ใต้ผืนธงชาติผืนเดียวกันมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่พึ่งทางใจเหมือนกัน หากคนไทยไม่รักกันแล้วใครจะมารักเรา หากคนไทยไม่หวงแหนความเป็นชาติไทยของเราใครจะมาหวงแหนให้เราดังบทกลอนที่ว่า
            ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง        แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
            ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง       จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง

นศท.สมภาร  สีบุตรดี  ชั้นปีที่ 3 ร.ร.โพธิ์ธาตุประชาสรรค์

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พระราชดำรัส3 หน้าที่พลเมืองไทย


ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง หมายผดุงยุติธรรมอันสดใส
ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่ เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทยฯ

พระราชดำรัส2


ประเทศไทยดำรงความเป็นชาติ และมีเอกราชอธิปไตยมาตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันได้ ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณในพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ที่ทรงเป็นศูนย์รวมทางจิตใจ ความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ที่ทรงนำประเทศชาติให้มีความมั่นคง เจริญรุ่งเรืองทั้งด้านการศึกษา การค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ การปรับปรุงกฎหมายและการปกครองให้ทันสมัย ปูพื้นฐานสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วยการทรงเลิกทาส การทดลองฝึกประชาชนในการมีส่วนร่วมในการปกครองนามาสู่การพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงช­นชาวไทย

พระราชดำรัส1

กองทัพมีหน้าที่ในการปกป้องสถาบันฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา77 และ70
-เกิดเป็นคนไทยต้องสำนึกในความเป็นไทย เราต้องเคารพและเทิดทูน
๓ สถาบันหลักของเรา คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัติริย์
นี่แหละคือความเป็นไทยอย่างแท้จริง