วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พระมหากรุณาธิคุณ

 ตามแนวพระราชดำริของพระองค์ท่าน ฝายที่สร้าง ไม่ต้องทำให้ดี ใช้หิน ไม้ มาทำง่ายๆ ตามภูมิปัญญาของชาวบ้าน ฝายในมุมมองของนักชลประทานต้องเก็บน้ำให้อยู่ ถ้าฝายไหนเก็บไม่อยู่ถือว่าไม่ใช่ฝาย  แต่พระองค์ท่านต้องการให้ทะลวงฝายให้น้ำไหลออกมา อยากให้น้ำขังอยู่ในป่านานขึ้นเพื่อช่วยต้นไม้ที่ดูเหมือนตาย กลับมามีชีวิต หรือเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ใต้ดินมีโอกาสงอกขึ้นมาได้ด้วยความชุ่มชื้นที่เพิ่มขึ้น  ห้วยห้องไคร้เป็นป่าธรรมชาติที่แท้จริง ไม่ต้องมีระเบียบ  ใช้เวลา 7 ปี ป่ากลับคืนมาได้ดังเดิม
        รูปแบบและลักษณะฝายนั้น ได้พระราชทานพระราชดำรัสว่า “ให้พิจารณาดำเนินการสร้างฝายราคาประหยัด โดยใช้วัสดุราคาถูกและหาง่ายในท้องถิ่น เช่น แบบหินทิ้งคลุมด้วยตาข่ายปิดกั้นร่องน้ำกับลำธารขนาดเล็กเป็นระยะๆ เพื่อใช้เก็บกักน้ำและตะกอนดินไว้บางส่วน โดยน้ำที่กักเก็บไว้จะซึมเข้าไปในดินทำให้ความชุ่มชื้นแผ่ขยายออกไปทั้งสองข้าง ต่อไปจะสามารถปลูกพันธุ์ไม้  ป้องกันไฟ พันธุ์ไม้โตเร็วและพันธุ์ไม้ไม่ทิ้งใบ เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำลำธารให้มีสภาพเขียวชอุ่มขึ้นเป็นลำดับ ”
“..สำหรับต้นน้ำไม้ที่ขึ้นอยู่ในบริเวณสองข้างลำห้วย จำเป็นต้องรักษาไว้ให้ดี เพราะจะช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นไว้ ส่วนตามร่องน้ำและบริเวณที่น้ำซับก็ควรสร้างฝายขนาดเล็กกั้นน้ำไว้ในลักษณะฝายชุ่มชื้น แม้จะมีจำนวนน้อยก็ตามสำหรับแหล่งน้ำที่มีปริมาณน้ำมาก จึงสร้างฝายเพื่อผันน้ำลงมาใช้ในพื้นที่เพาะปลูก..”
"การแสดงความจงรักภักดีด้วยวิธีการใดๆ ก็อาจจะไร้ค่า ไร้ซึ่งความหมาย หากมิได้ปฏิบัติตามแนวพระราชดำริและดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท"

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

น้ำพระราชหฤทัย...มากล้น


ภาพรวมการบริหารจัดการน้ำตามแนวทางของในหลวง  บริหารตั้งแต่น้ำจากฟ้าจนถึงน้ำใต้ดิน
เช่น ฝนหลวง เขื่อนบนดิน เขื่อนใต้ดิน ฝายชะลอน้ำ อีก 10 ปีข้างหน้าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ เราจะทำอะไรกันบ้างไหมเพื่อที่จะจัดการกับเรื่องนี้  สงครามแย่งน้ำกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต รุนแรงยิ่งกว่าสงครามน้ำมัน
            ป่าต้นน้ำ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเราอยู่ได้ ทั้งอาหารการกิน เครื่องนุ่งห่ม  คนส่วนใหญ่ปลูกป่ากันแล้วไม่เคยดูว่ารอดหรือไม่   พระองค์ท่านปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกต้นไม้  แต่หาวิธีสร้างความชุ่มชื้นให้กับป่า  ที่เชียงใหม่ น้ำท่วม เพราะแหล่งน้ำตื้นเขินขึ้น มีขยะไปขวางกั้นทางไหลของน้ำ

Sufficiency economy may mean sustainable economy (2)

หลักสำคัญห้าประการนี้ได้มีการนำไปปฏิบัติตามอย่างรอบคอบโดยทุกภาคส่วนในสังคมไทยและทำให้เรารอดพ้นจากการได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ในพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตอนหนึ่งกล่าวว่า “การได้เป็นเสือ[เศรษฐกิจ]นั้นไม่สำคัญ สิ่งซึ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือการมีเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งหมายถึงการมีเพียงพอให้อยู่รอดได้”
นาย Warr กล่าวว่า  “หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงระบุว่าความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมิได้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาความอยู่ดีมีสุขของคน และการมุ่งเน้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินไปกว่าสิ่งสำคัญอื่นๆ อาจทำให้เกิดความทุกข์ พูดโดยสั้นๆคือหลักเหตุผลของทางสายกลาง”
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดของแนวทางนี้และอันตรายจากการเพิกเฉยต่อการปฏิบัติตามแนวทางนี้ เขากล่าวว่า “แนวความคิดนี้ได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสุขภาพจิตในช่วงที่ผ่านมา”
เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่าในประเทศต่างๆส่วนใหญ่ นโยบายสาธารณะยังไม่สามารถสื่อถึงวิสัยทัศน์อันลึกซึ้งนี้ได้ “คุณค่าของคนในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ร่ำรวยได้ถูกประเมินค่าไว้สูงมากเกินไป”
หวังว่ามุมมองของนายกอภิสิทธิ์ที่มีต่อหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆให้สามารถสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความผาสุกของประเทศชาติอย่างยั่งยืนได้
แปลจากบทความ “Sufficiency economy may mean sustainable economy
ของ ”K I Woo” ใน The Nation ฉบับวันที่ 10 ตุลาคม 2552

Sufficiency economy may mean sustainable economy (1)


เหตุผลสำคัญคือคำว่า “พอเพียง” ซึ่งบางคนตีความว่าหมายถึงหลักปรัชญาที่คับแคบซึ่งอาจจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยย้อนกลับไปสู่ยุคหิน
บางทีหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอาจจะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางไปทั่วโลกถ้าหากมันถูกเปลี่ยนชื่อเป็นหลักปรัชญา “เศรษฐกิจยั่งยืน”
ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่ได้รับการยอมรับหลายท่าน รวมถึงนาย Peter Warr แห่ง Australian National University ได้ศึกษาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอย่างละเอียดมาเป็นเวลาหลายปี
นาย Warr ได้ยกพระราชดำรัสที่พระราชทานไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.. 2542 ว่า
“เศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักปรัชญาที่เน้นการจัดการอย่างเหมาะสมและการดำเนินชีวิตอย่างพอประมาณโดยพิจารณาแนวทางการจัดการทั้งหมด และความจำเป็น ที่จะต้องมีการป้องกันแรงกระทบทั้งภายในและภายนอกอย่างเพียงพอ”   
ในบทความของนาย Warr ซึ่งตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ใน GH Bank Housing Journal เขาได้กล่าวว่ามี “หลักการสำคัญห้าประการ” จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
“ได้แก่  ความสำคัญในการกำหนดเป้าหมายสำคัญอย่างสมเหตุสมผลและเหมาะสม (มีเหตุมีผล)  ความสำคัญของการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นในการดำเนินตามเป้าหมาย (พอประมาณ)  ความพอใจยินดีที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง (มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี) ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีความตระหนักถึงการปกป้องตนเองจากสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจมีการผันแปรไป (ความรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง) และมีการตระหนักรู้ถึงการใช้ชีวิตที่ไม่ยึดติดกับวัตถุ (คุณธรรม)”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้แสดงให้เห็นถึงแต่ละหลักการทั้งห้าดังกล่าว ซึ่งความสัมพันธ์กันในหลักการทั้งห้าของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถทำความเข้าใจได้ในหลายระดับ ในระดับปัจเจกบุคคล หลักการทั้งห้าให้แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินชีวิตโดยประหยัดซึ่งก็จะมีผลดีต่อระดับชุมชนและองค์กร สำหรับในระดับประเทศหลักการทั้งห้าก็มีความสัมพันธ์อย่างมากกับการบริหารประเทศในการปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสว่า ความพอเพียงหมายถึงการมีอย่างเพียงพอที่จะใช้ในการดำเนินชีวิต ความพอเพียงยังหมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างสุขสบายอย่างพอประมาณ ไม่มากเกินไป หรือไม่ตามใจตัวเองในสิ่งฟุ่มเฟือยมากเกินไป  โดยบางสิ่งที่อาจดูเหมือนฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อแต่หากนำมาซึ่งความสุขก็อาจจะยอมรับได้ เมื่อเป็นการทำในระดับปัจเจกบุคคล
บทวิจารณ์เกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในช่วงแรกหลายบทวิจารณ์เข้าใจว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับแนวทางพระราชดำริซึ่งทรงแนะนำให้กับเกษตรกรที่เรียกว่า “ทฤษฎีใหม่” ผู้สังเกตการณ์บางคนเริ่มที่จะคิดว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นที่จะย้อนกลับไปใช้ชีวิตแบบพอเพียง แบบเกษตรกร และดำรงชีพโดยใช้เฉพาะแต่สิ่งที่จำเป็น
และแล้วเมื่อเวลาผ่านไปหลายคนก็ได้เริ่มตระหนักว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นการปฏิบัติอย่างพอดีพอประมาณตามหลักการห้าข้อดังกล่าวข้างต้น โดยสามารถนำไปใช้ได้ทั้งบุคคลที่มีอาชีพต่างๆ องค์กร บริษัท หน่วยงาน จนถึงระดับรัฐบาล

แปลจากบทความ “Sufficiency economy may mean sustainable economy
ของ ”K I Woo” ใน The Nation ฉบับวันที่ 10 ตุลาคม 2552

ความสามัคคีของคนในชาติ

การปลูกฝังความสามัคคีของคนในชาติ

  นศท. อภิสิทธิ์  ทองสง่า  ชั้นปีที่ 2  รร.เขื่องในพิทยาคาร
               ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามารถดำรงความเป็นปึกแผ่นของชาติไว้ได้ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศต่าง ๆมีความเป็นอิสระภาพในการปกครองอันนำมาซึ่งความเป็นเอกราชของประเทศ ทั้งดินแดนศักดิ์ศรี สัญชาติ ศาสนา และที่สำคัญคือความเป็นไทยสายเลือดผู้กล้าแห่งบรรพบุรุษและเหล่านักของไทยได้เสียสละ พลีชีพเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง หลายครั้งในอดีตสมัยประวัติศาสตร์ต้องมีการทำศึกสงครามเพื่อแย่งชิงการครอบครองดินแดน ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ถุกรุนรานจากอารยชาติที่เข้ามายึดดินแดนไทย แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของบรรพบุรุษที่พรั่งพร้อมด้วยความกล้า และรักชาติที่สำคัญคือความสามัคคีในกองทัพ ทำให้สามารถดำรงมาซึ่งความเป็นไทยจนถึงปัจุบันนี้
               ความสามัคคีที่ทำให้ประเทศไทยดำรงมาถึงปัจจุบัน นับเป็นความสามัคคีที่หาได้ยาก เพระาการทำสงครามมีหลายร้อยชีวิตที่ร่วมต่อสู้กัน เพื่อนำมาซึ่งชัยชนะของฝ่่ายตน คำว่า"สามัคคี" หมายถึงการร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน