วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปัจจุบันสถาบันพระมหากษัตริย์มีความมั่นคงเพียงใด

เป็นความจริงที่มีคนไทยจำนวนหนึ่งมีความคิดที่ไม่ต้องการมีระบบกษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ มีความต้องการที่จะปกครองประเทศในรูปแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ความคิดเช่นนี้มีมานานแล้ว จนกระทั่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 คนกลุ่มนี้ต้องการอำนาจปกครองสูงสุดแบบประธานาธิบดี ไม่ใช่แค่อำนาจบริหารแบบนายกรัฐมนตรี และมักจะอ้างเสมอว่าการปกครองแบบพระมหากษัตริย์เป็นประมุขล้าสมัย บ้านเมืองเจริญเติบโตช้า มีความคิดที่จะลบล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่อมีโอกาสตลอดมา คนกลุ่มนี้เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ได้แล้ว ก็แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กันตลอดแทบทุกยุคทุกสมัย จึงไม่ค่อยได้รับความศรัทธาจากประชาชนนัก ประชาชนส่วนใหญ่แทบทั้งหมดยังคงจงรักภักดีและเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์อย่างไม่เสื่อมคลาย
กลุ่มคนที่ไม่ต้องการการปกครองระบบกษัตริย์เป็นประมุข แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มพวกคอมมิวนิสต์ กลุ่มนี้ไม่ต้องการระบบกษัตริย์อย่างเปิดเผย กับกลุ่มที่ต้องการอำนาจสูงสุดแบบประธาณาธิบดี ไม่ต้องการระบบกษัตริย์เช่นกัน แต่ดำเนินการล้มล้างสถาบันอย่างปิดลับ ทั้ง 2 กลุ่มมีความประสงค์อย่างเดียวกัน และเป็นแนวร่วมกัน มีการติดต่อวางแผนร่วมกันเพื่อทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดมา แม้จะมีการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองได้แล้วก็ยังไม่พอใจ มีการดำเนินการ อย่างอื่นอีกหลายรูปแบบ มีการบีบและกดดันให้ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ ลอบปลงพระชนม์ล้นเกล้ารัชกาลที่ 8 มีการปล่อยข่าวใส่ร้ายเกิดการสับสน เกิดการเข้าใจผิดกับสถาบัน จนกระทั่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 สืบราชสมบัติต่อมา ก็ปล่อยข่าวในเรื่องที่เสื่อมเสียอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของกลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่บังเกิดผลมากนัก ประชาชนแทบทั้งหมดก็ยังคงจงรักภักดีและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดมาอย่างไม่เสื่อมคลาย กลุ่มดังกล่าวจึงมีการประชุมวางแผนโดยกำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และเป้าหมาย ดังนี้
ยุทธศาสตร์ ทำอย่างไรก็ได้ ที่ทำให้คนไทยคลายความจงรักภักดีต่อสถาบัน พระมหากษัตริย์ลงทีละนิดๆ แม้จะให้เวลา 30 ปี หรือ 50 ปี ก็ต้องทำ
ยุทธวิธีใช้ยุทธวิธี การสร้างข่าวลือ กล่าวคือ ข่าวที่ไม่มีต้องสร้างขึ้น ข่าวที่มีอยู่แล้วต้องขยายให้ใหญ่ขึ้น คนไทยมีนิสัยเชื่อข่าวลือ จะได้ผลมาก ประกอบกับทางราชสำนักขาดภูมิคุ้มกัน รัฐบาล พรรคการเมือง พรรคฝ่ายค้าน ยังมีโฆษกไว้ค่อยแก้ต่าง แต่ราชสำนักไม่มีโฆษกไว้แก้ต่าง ต้องปล่อยให้ข่าวลือแพร่ออกไปจากข่าวเล็กๆ ขยายไปหาใหญ่ แล้วปล่อยให้ค่อยๆจางหายไปเอง ข่าวลือเมื่อเข้าสู่สมองแล้วลบออกยาก เพราะเข้าสู่กระบวนการทางความคิดแล้ว ทางแก้ของราชสำนัก คือการสร้างความดีมาลบล้าง ซึ่งต้องใช้เวลานานมาก
เป้าหมาย ต้องไม่มีรัชกาลที่ 10 ดังนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จึงเป้นเป้าหมายหลักในการโจมตี ถ้าพูดอะไรเกี่ยวกับพระบรมฯ แล้วจะมีคนเชื่อ อย่าไปกล่าวโจมตีในหลวงหรือสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพราะจะไม่มีคนเชื่อ แต่ในปัจจุบันไม่ได้ยกเว้นแล้ว กล่าวโจมตีทุกพระองค์ และมีการแพร่ข่าวทางอินเตอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา
การปกป้องและการพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์
มีหลายวิธีเช่น
1. เริ่มที่ตัวเองก่อน กล่าวคือ เราจะต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์และรู้เท่าทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะจะต้องไม่ฟังข้อมูลด้านเดียว
2. การต่อต้านข่าวสาร ที่ดีที่สุดคือการยุติข่าวให้ได้ เพราะข่าวเมื่อแพร่ออกไปแล้ว จะยุติได้ยาก ข่าวทุกข่าวเมื่อเข้าสู่สมอง เข้าสู่กระบวนความคิดแล้ว ลบยากมาก
3. เผยแพร่โครงการพระราชดำริ ซึ่งมีอยู่เกือบ 3,000 โครงการ ให้คนรุ่นหลังได้รับทราบถึงพระเมตตาของพระองค์ท่านที่มีต่อพสกนิกรและจัดงานเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านอย่างต่อเนื่อง
4. ร่วมกันต่อต้านการแพร่ข่าวทางอินเตอร์เน็ตในทุกรูปแบบ และศึกษาการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ไม่สามารถควมคุมเว็บไซต์ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเว็บไซต์จากต่างประเทศ
5. จะต้องให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง ทุกฝ่ายจะต้องไม่ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มากล่าวอ้างเพื่อประโยชน์ฝ่ายตน
บทสรุป
ประเทศไทยเรามีสิ่งยึดเหนี่ยวร่วมกัน คือ สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นแกนหลักของความมั่นคงของชาติ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ เมื่อทุกคนรักและเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เหมือนกับมีพ่อคนเดียวกัน ทุกคนเหมือนเป็นพี่น้องกัน เวลาขัดแย้งทะเลาะกันก็เหมือนพี่น้องทะเลาะกัน คือเดี๋ยวก็ดีกัน ประเทศไทยเราเป็นเช่นนี้มาหลายครั้ง แต่ทุกคนก็อยู่ร่วมกันมาโดยไม่มีปัญหา ทำให้ประเทศเรามีความมั่นคงมากกว่าประเทศใดๆในภูมิภาคนี้
ดังนั้น ถ้าเราต้องการให้ประเทศของเรามีความมั่นคงตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน โดยไม่มีการแบ่งเป็นไทยเหนือ ไทยใต้ ไทยอีสาน เราต้องรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ของเราไว้ อย่าให้ผู้ใดมาทำลายโดยเด็ดขาด แล้วแผ่นดินของเราจะมั่นคงเป็นปึกแผ่นตลอดไป
พล.ต.ต. สุเทพ สุขสงวน

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ

การที่เรามีกษัตริย์ปกครองต่อเนื่องกันมาเป็นพันปี ทำให้คนไทยมีความรู้สึกว่า พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวง ต่างยึดมั่นและมีความผูกพันทางจิตใจตลอดมา เป็นสัญลักษณ์ของชาติซึ่งจะขาดเสียมิได้ คนไทยมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เทิดทูนและจงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เสื่อมคลาย ใครก็ตามที่ล่วงละเมิดต่อสถาบันก็มักจะมีอันเป็นไปตลอดมา นอกจากจะเป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นแกนกลางของความรักความสามัคคีแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ยังเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวร่วมกันของคนทั้งชาติ ที่ทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงอีกด้วย
ประเทศไทยมีคนหลายชาติพันธ์อยู่ร่วมกัน คนทางภาคอีสานตอนบนมาจากอาณาจักรล้านช้าง คนทางอีสานใต้มีเชื้อสายเขมร คนทางภาคเหนือมาจากอาณาจักรโยนกหรือล้านนา คนทางภาคใต้มาจากอาณาจักรศรีวิชัย คนภาคกลางมีเชื้อสายมาจาก มอญ เขมร ชวา มลายู ไทย ลาว จาม จีน จากมณฑลกวางตุ้ง กวางสี และชาวยุโรผที่เข้ามาค้าขายและตั้งรกรากอยู่ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้บรรยายพิเศษเมื่อปี พ.ศ.2547 ไว้ว่าคนไทยในประเทศไทยนั้น ไทยแท้ไม่มี คนในประเทศไทยล้วนแต่เป็นไทยผสมทั้งสิ้น ได้แก่ ไทยจีน ไทยมอญ ไทยเขมร ไทยญี่ปุ่น ไทยปอร์ตุเกส ไทยพรวน ไทยย้อ ไทยลื้อ ไทยดำ ไทยลาว ไทยมลายู ใครก็ตามที่เกิดในประเทศไทยก็ถือว่าเป็นคนไทยทั้งสิ้น คำว่าไทย คือความรู้สึกที่อยู่ภายในเท่านั้น (ผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง และสอดคล้องกับที่ได้ศึกษามา)
เมื่อปี พ.ศ. 2534 รัสเซียต้องแตกเป็น 15 ประเทศ เพราะมีปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางเชื้อชาติศาสนา และการแตกแยกทางความคิด ยูโกสลาเวียก็เช่นกัน มีปัญหาแตกแยกทางชาติพันธ์และทางความคิด ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ก็ต้องแตกออกเป็น 6 ประเทศ ได้มีชาวตะวันตกหลายคนเขียนบทความและวิเคราะห์ไว้ตรงกันว่า การที่รัสเซียและยูโกสลาเวียต้องแตกออกเป็นเสี่ยงเช่นนี้ ก็เพราะขาดสิ่งยึดเหนี่ยวร่วมกัน ไม่มีความผูกพันใดๆต่อกัน ซึ่งต่างจากประเทศไทยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวร่วมกัน ประเทศจึงเกิดความมั่นคง ไม่แตกแยกดังเช่นประเทศทั้งสอง ก็น่าจะเป็นความจริง เพราะเมื่อคนรักและเทิดทูนบุคคลเดียวกัน ก็เหมือนมีพ่อคนเดียวกัน ทุกคนก็เหมือนพี่น้องกัน เมื่อมีการแตกแยกทางความคิด เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ก็เหมือนพี่น้องทะเลาะกัน ประเดี๋ยวก็ดีกันได้ ดังนั้นถ้าต้องการให้ประเทศเรามีความมั่นคงตลอดไป ก็จะต้องช่วยกันปกป้องและรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป
พล.ต.ต. สุเทพ สุขสงวน

สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาติ(1)

การพูดถึงเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาติ จำเป็นจะต้องกล่าวถึงประวัติศาสตร์ชาติไทย การกล่าวอ้างประวัติศาสตร์มักจะมีข้อโต้แย้งมากมาย ต่างฝ่ายต่างอ้างข้อมูลข้อเท็จจริงที่ตัวเองได้รับมาทั้งที่ไม่มีผู้ใดรู้เห็นด้วยตา เพราะเกิดไม่ทันในยุคนั้นๆ ต่างตีความและวิเคราะห์ตามความรู้และความคิดของตน พร้อมกับทึกทักเอาว่าสิ่งที่ตนได้รับรู้มานั้นเป็นความจริง ซึ่งเรื่องนี้มีศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ได้กล่าวไว้ว่า การศึกษาประวัติศาสต์ก็คือการศึกษาถึงเศษซากที่หลงเหลืออยู่และมีผู้ค้นพบ และมีการตีความตามทัศนคติและความรู้ของผู้ค้นพบ นอกจากนั้นประวัติศาสตร์แต่ละเรื่องยังขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้เขียนบันทึก และขึ้นอยู่กับว่าเป็นมุมมองของฝ่ายใด ฝ่ายแพ้ หรือฝ่ายชนะ ซึ่งจะบันทึกแตกต่างกัน ดังนั้นผู้อ่านจะต้องใช้วิจารณญาณในการศึกษาประวัติศาสตร์ควบคู่ไปด้วย
ประเทศไทยมีกษัตริย์ปกครองและเป็นประมุขของประเทศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ก.สมัยก่อนกรุงสุโขทัย
นับแต่อาณาจักรไทยอ้ายลาวล่มสลาย เมื่อปี พ.ศ. 1190 โดยถูกโจมตีด้วยกำลังทหารและอาวุธจากจีน ผู้คนได้แตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง บางกลุ่มมุ่งลงมาทางใต้ และบางส่วนหลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ ช่วงนี้ได้ปรากฎพระนามกษัตริย์องค์แรก คือ พระเจ้าสีนุโล ได้รวบรวมผู้คนที่กระจัดกระจายตั้งเป้นอาณาจักรชั่วคราว ไม่มีชื่อแน่ชัด มีเมืองหว้าติงเป็นราชธานี ต่อจากนั้นในปี พ.ศ. 1291 พระเจ้าโก๊ะล่อฝง ได้สถาปนาเป็นอาณาจักน่านเจ้า ย้ายราชธานีจากหว้าติงมาอยู่ที่เมืองตาลีฟู หรือเมืองหนองแส (ปัจจุบันตาลีฟูคือเมืองต้าหลี้ และทะเลสาบหนองแสคือทะเลสาบเหอไอ่ อยู่ในมณฑลยูนนาน) อาณาจักร น่านเจ้า มีอายุยืนยาวได้ 536 ปี ในปี พ.ศ. 1827 ก็ถูกกุ๊บไลข่าน กษัตริย์จีนใช้กำลังเข้าโจมตีอาณาจักรน่านเจ้าล่มสลายไป
ส่วนพวกที่อพยพลงมาทางใต้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือไทยใหญ่และไทยน้อย พวกไทยใหญ่อพยพมาตามแม่น้ำสาละวิน ได้จัดตั้งอาณาจักรสิบเก้าเจ้าฟ้า คนกลุ่มนี้ปัจจุบันคือไทยอาหมอยู่ในรัฐอัสสัมของอินเดีย และคนไทยใหญ่ในรัฐฉานประเทศพม่า มีเมืองเชียงตุงเป็นเมืองหลวง ส่วนพวกไทยน้อยอพยพมาตามแม่น้ำโขง มาตั้งอาณาจักรสิบสองจุไท มีพ่อขุนบรมเป็นกษัตริย์ปกครอง เนื่องจากพ่อขุนบรมมีโอรสหลายคน จำเป็นต้องแสวงหาดินแดนและสร้างอาณาจักรเพิ่มเติมอีก4 อาณาจักร คือ สิบสองพันนา โยนก หรือล้านนา ล้านช้าง และหัวพันทั้งห้าทั้งหก รวมสิบสองจุไทเป็น 5 อาณาจักร อาณาจักรล้านช้าง เมืองหลวงคือเวียงจันทร์ (กรุงศรีสัตนาคนหุต) ได้แก่ดินแดนลาว และภาคอีสานตอนบนของไทยในปัจจุบัน (ส่วนอีสานตอนล่างเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขแมร์) อาณาจักรโยนกหรือล้านนาเมืองหลวงคือเชียงแสน ได้แก่ดินแดนภาคเหนือตอนบนของไทยในปัจจุบัน ส่วนอาณาจักรสิบสองพันนาอยู่ในมณฑลยูนานของจีน อาณาจักรสิบสองจุไทอยู่แถวเมืองเดียนเบียนฟู และหัวพันทั้งห้าและทั้งหกอยู่บริเวณตอนเหนือของเวียดนามบริเวณอ่าวตังเกี๋ยซึ่งมีคนไทยดำอาศัยอยู่
หลังจากพระเจ้าพรหมได้ขับไล่อิทธิพลขอมออกจากเชียงแสนได้สำเร็จ ก็ยกราชธานีเชียงแสนให้พระราชบิดา คือ พระเจ้าภังคราชปกครอง ส่วนพระองค์ก็ได้พาผู้คนจำนวนหนึ่งไปสร้างเมืองไชยปราการ (อ. ไชยปราการ จ. เชียงใหม่) พระเจ้าพรหมเป็นต้นราชวงศ์เชียงราย (พระเจ้าอู่ทองผู้ส้รางกรุงศรีอยุธยา สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์นี้) ต่อมาในสมัยพระเจ้าไชยศิริ ได้ถูกพม่ายกทัพมาตีเมืองไชยปราการแตก พระเจ้าไชยศิริจึงอพยพผู้คนลงมาทางใต้ และตั้งเมืองชั่วคราวที่เมืองแปปจังหวัด กำแพงเพชร จากนั้นก็ย้ายมาตั้งเมืองไตรตรึงษ์ ที่ อ. สรรค์ จังหวัดชัยนาทและ ย้ายมาตั้งเมืองถาวรที่เมืองนครปฐม หรือเมืองศิริชัยบุรี หรือ เมืองนครชัยศรี ในที่สุด และมีคนไทยกลุ่มหนึ่งได้แยกตัวไปตั้งเมืองบางยาง (อ. นครไทย จ. พิษณุโลก) มีพ่อขุนบางกลางท่าว เป็นหัวหน้า ได้ร่วมกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด (อ.หล่มสัก จ. เพชรบูรณ์) ซึ่งเป็นพระสหายและญาติกัน เข้ายึดเมืองสุโขทัยจากขอมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ไว้ได้ และได้สถาปนากรุงสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานีเมื่อปี พ.ศ. 1781
ข.สมัยสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พ่อขุนบางกลางท่าว)ทรงสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เมื่อปี พ.ศ. 1781 กษัตริย์ที่ปกครองเรียกว่าราชวงศ์พระร่วง มีทั้งหมด 6 พระองค์ คือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนบาลเมือง พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พญาเลอไท พญาลิไท และพญาไสลือไท
ค. สมัยอยุธยา พระเจ้าอู่ทอง ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อปี พ.ศ. 1893 มีกษัตริย์ปกครอง 5 ราชวงศ์ คือ
1. ราชวงศ์อู่ทอง มีกษัตริย์ปกครอง 3 พระองค์ คือ พระเจ้าอู่ทอง (พระรามาธิบดีที่1) พระราเมศวร และพระรามราชาธิราช
2. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ มีกษัตริย์ปกครอง 13 พระองค์ คือพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพระงั่ว) พระเจ้าทองลัน พระอินทราชา พระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) พระบรมไตรโลกนาถ พระบรมราชาธิราชที่ 3 พระรามาธิบดีที่ 2 พระบรมราชาธิราชที่ 4 พระรัฎฐาธิราชกุมาร พระไชยราชาธิราช พระยอดฟ้า พระมหาจักรพรรดิ (พระเธียรราชา) และพระมหินทราธิราช (เสียกรุงครั้งที่ 1 ในปีพ.ศ. 2112)
3. ราชวงศ์สุโขทัย มีกษัตริย์ปกครอง 7พระองค์ คือ พระมหาธรรมราชา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ทรงกอบกู้เอกราชเมื่อปี พ.ศ. 2127)พระเอกาทศรถ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ พระเจ้าทรงธรรม พระเชษฐาธิราช และพระอาทิตย์วงศ์
4. ราชวงศ์ปราสาททอง มีกษัตริย์ปกครอง 4 พระองค์ พระเจ้าปราสาททอง เจ้าฟ้าไชย พระศรีสุธรรมราชา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
5. ราชวงศ์พูลหลวง มีกษัตริย์ปกครอง 6 พระองค์ คือพระเพทราชา พระเจ้าเสือ (ขุนหลวงสรศักดิ์) พระเจ้าท้ายสระ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระเจ้าอุทุมพร และพระเจ้าเอกทัศ (เสียกรุงครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310)
ง. สมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แห่งราชวงศ์ตากสิน ทรงกอบกู้เอกราช และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีเมื่อปี พ.ศ. 2310
จ. สมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกต้นราชวงศ์จักรี ทรงสถาปนากรุงเทพฯเป็นราชธานี เมื่อปี พ.ศ. 2325
พระมหากษัตริย์เป็นผู้สร้างแผ่นดินและเป็ยนเจ้าของแผ่นดิน
จากประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่าเรามีกษัตริย์ปกครองต่อเนื่องกันมาเป็นเวลามากกว่า 1,300 ปี กษัตริย์แต่ละพระองค์ได้สร้างชาติและแผ่นดิน ต้องรักษาชาติและแผ่นดินโดยเอาชีวิตเลือดเนื้อเข้าแลกอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งเราต้องสูญเสียแผ่นดิน โดยเฉพาะในสมัยอยุธยา เราต้องเสียแผ่นดินถึง 2 ครั้ง ในสมัยพระมหินทราธิราช กษัตริย์องค์ที่ 13 ของราชวงศ์สุพรรณภูมิ และในสมัยพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์ที่ 6 ของ ราชวงศ์ พูลหลวง บางครั้งแผ่นดินของเราก็กว้างใหญ่ไพศาล ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงแห่งราชวงศ์พระร่วง สามารถขยายแผ่นดินทางด้านทิศใต้จนจดแหลมมลายู ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงขยายแผ่นดินทางด้านทิศเหนือจดแผ่นดินจีน จนกล่าวได้ว่า ในยุคนี้แผ่นดินไทยกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดกว่ายุคใดๆ
ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ได้ออกทำศึกร่วมกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ปราบชุมนุมเจ้าพิมาย เจ้าพระฝาง และเป็นแม่ทัพตีเมืองต่างๆ เพื่อปกป้องและขยายพระราชอาณาเขตถึง 11 ครั้งดังนี้
ครั้งที่ 1 เป็นแม่ทัพปราบชุมนุมเจ้าพิมาย และตีเมืองเสียมราฐ ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์
ครั้งที่ 2 เป็นแม่ทัพไปตีเมืองเขมร่ ได้เมืองพะตะบองเพิ่ม
ครั้งที่ 3 ตามเสด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ที่เมืองสวางคบุรี ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยายมราช
ครั้งที่ 4 เป็นแม่ทัพไปตีเมืองเขมร ได้เมืองบันทายเพชร บันทายมาตร เมืองบาพนม และเมืองโพธิสัด ได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาจักรี
ครั้งที่ 5 ปี พ.ศ. 2317 เป็นแม่ทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และน่าน ซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2101 จนถึงปี พ.ศ. 2317 รวมเชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้นพม่าถึง 216 ปี
ครั้งที่ 6 พม่ายกทัพมาตีเมืองราชบุรี เป็นแม่ทัพตีพม่าแตกพ่ายไป
ครั้งที่ 7 พม่ายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ เป็นแม่ทัพยกกำลังไปช่วยพม่ารู้จึงถอยทัพกลับ
ครั้งที่ 8 ปี พ.ศ. 2318 อะแซหวุ่นกี้ยกทัพใหญ่เข้ามาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ เจ้าพระยาจักรี (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) อยู่ที่เชียงใหม่ เป็นแม่ทัพยกกำลังมาตั้งรับที่พิษณุโลก พม่าเข้าตีหลายครั้งก็ไม่สามารถยึดเมืองได้ ต้องยกทัพกลับ ก่อนยกทัพกลับได้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรีและทำนายว่าเจ้าพระยาจักรีจะต้องเป็นกษัตริย์ในอนาคต
ครั้งที่ 9 ปี พ.ศ. 2319 เป็นแม่ทัพไปตีเมืองลาวภาคตะวันออกได้เมืองจำปาศักดิ์ ศรีทันดร อัตปือ และตีเมืองเขมร ได้เมืองสุรินทร์ ตะลุง เมืองสังข์ และเมืองขุขัณฑ์ ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
ครั้งที่ 10 ปี พ.ศ. 2324 เป็นแม่ทัพไปปราบกรุงศรีสัตนาคนหุต ได้เมืองเวียงจันทร์พร้อมเมืองขึ้น และเมืองหลวงพระบาง ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางมาถวายพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วย
ครั้งที่ 11 พ.ศ. 2324 เป็นแม่ทัพไปปราบเขมร ซึ่งแข็งเมืองได้สำเร็จ พอกลับจากเขมร ราษฎรก็พร้อมใจกันอัญเชิญขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เนื่องจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สติฟั่นเฟือน ข้าราชบริพารจึงจับพระองค์ไว้รอการพิจารณาโทษตามกฎมณเฑียรบาล (เรื่องนี้ยังเป็นปัญหาที่จะต้องพิสูจณ์ มีหลายคนเชื่อว่าพระเจ้าตากสิน มิได้ถูกประหารชีวิตด้วยท่อนจัน แต่ได้หลบหนีไปพำนักอยู่ที่วัดขุนพนม อ. พรมคีรี จ. นครศรีธรรมราช สอดคล้องกับประวัติศาสตร์พื้นบ้านของนครศรีธรรมราช ซึ่งมีสถานที่และหลักฐานต่างๆ ประกอบ)
รวมแผ่นดินที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงสร้างไว้เป็นพื้นที่ทั้งสิ้นมากกว่า 1 ล้าน 3 แสนตารางกิโลเมตร แต่ในที่สุดเราก็ต้องทยอยเสียดินแดนให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส รวม 13 ครั้ง คือ
ครั้งที่ 1 เกาะหมาก หรือปีนัง
ครั้งที่ 2 มะริด ทวาย ตะนาวศรี
ครั้งที่ 3 รัฐเปอร์ลิส
ครั้งที่ 4 เมืองบันทายมาตร หรือ ฮาเตียน ในปี พ.ศ. 2406 สมัยรัชกาลที่ 4
ครั้งที่ 5 เขมร่ส่วนนอก (บันทายเพชร บาพนม โพธิสัด) ในปี พ.ศ. 2410
ครั้งที่ 6 สิบสองพันนา
ครั้งที่ 7 สิบสองจุไท ในปี พ.ศ. 2431 สมัยรัชกาลที่ 5
ครั้งที่ 8 แสนหวี-เชียงตุง ในปี พ.ศ. 2435
ครั้งที่ 9 แม่น้ำสาละวินฝั่งซ้าย
ครั้งที่ 10 แม่น้ำโขงฝั่งซ้าย (ลาว) ในปี พ.ศ. 2436
ครั้งที่ 11 แม่น้ำโขงฝั่งขวา (แขวงไชยบุรี- ปากลาย) ในปี พ.ศ.2450
ครั้งที่ 12 มณฑลบูรพา(เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ)ในปี พ.ศ. 2450
ครั้งที่ 13 กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ในปี พ.ศ. 2452
รวมแผ่นดินไทยเสียไปประมาณ 8 แสนตารางกิโลเมตร คงเหลือพื้นที่ในปัจจุบัน 513,116 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก
จากประวัติศาสตร์ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ชัดว่า ผู้ที่สร้างแผ่นดินไทยและขยายอาณาเขตของประเทศให้กว้างใหญ่ไพศาลล้วนเป็นพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น ดังนั้นพระมหากษัตริย์จึงเป็นเจ้าของแผ่นดินโดยแท้จริง จึงมีการขนานนามพระมหากษัตริย์ว่า พระเจ้าแผ่นดินอีกพระนามหนึ่ง

พล.ต.ต. สุเทพ สุขสงวน

คนไทยรักในหลวง (2)


 ในหลวงทรงเป็นตัวอย่างของ ความรับผิดชอบ ในเอกสารสำคัญใดๆ ทรงโปรดให้กรอกในช่องอาชีพของพระองค์ท่านว่า ทำราชการ และเราก็ทราบอยู่ด้วยหัวใจเสมอว่าทุกวินาทีของพระองค์ท่านก็คือการ ทำราชการ
ครั้งหนึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงทรงตอบว่า… ความจริงมันก็น่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเราคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
จะมีผู้ที่รักในหลวงสักกี่คนที่จะทราบว่า แม้กระทั่งวันที่ในหลวงต้องทรงเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลัง (๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๙) ก่อนเข้าที่ผ่าตัด ยังรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์เอาไว้ เพราะกำลังมีพายุใหญ่เข้าเขตประเทศไทย พระองค์จะได้ทรงเฝ้าตรวจสอบ (Monitor) เผื่อหากเกิดน้ำท่วมใหญ่เป็นอุทกภัย จะได้ทรงช่วยเหลือทันเวลา
ในหลวงทรงเป็นตัวอย่างของความซื่อสัตย์ ซึ่งมีเรื่องบันทึกอยู่มากมาย เช่น ครั้งหนึ่งในการแข่งขันเรือใบ (ในหลวงทรงโปรดกีฬาหลายชนิด เช่น แบดมินตัน และเรือใบ เป็นต้น) ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯ ว่า เสด็จกลับฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาแข่งเรือใบถือว่าผิดกติกา(ฟาวส์) ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น หากไม่ทรงบอกใคร ก็ไม่มีใครทราบ การแข่งก็ดำเนินต่อไปได้ และท่านอาจจะเป็นผู้ชนะก็ได้ แต่ก็ทรงยึดตามกติกาทุกอย่าง ทำตามกติกาทุกประการ เอาความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง เพื่อให้การแข่งนั้นยุติธรรม
ในหลวงทรงเป็นตัวอย่างของ ความพอดี และประหยัด ห้องทรงงานของพระองค์ในพระตำหนักจิตรลดาฯ จะอยู่ใกล้ห้องบรรทม เป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3 x 4 เมตรเท่านั้น ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ สำหรับการทรงงานเพื่อประชาชนของพระองค์ตลอดเวลา ยามเมื่อทรงออกตรวจงานภายนอก รับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันนั้นเป็นการสิ้นเปลือง จึงทรงให้นั่งรวมกัน และไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด ซึ่งเรียกว่า นั่งรถหารสอง
คนไทยเกือบทุกคนจะทราบเรื่อง หลอดยาสีฟันของในหลวง ที่ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอดยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปถึงเกลียวคอหลอด เพราะทรงใช้ด้ามแปรงสีฟันรีดและกดเพื่อไม่ให้ยาสีฟันเหลือทิ้งเลย … แต่ยังมีข้อมูลอีกหลายอย่างที่เป็นตัวอย่างให้เราเห็นถึงความพอดีและความประหยัด เช่น ในหลวงไม่โปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้นแต่นาฬิกา หรือ มีบันทึกว่า ในปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอเพียง ๑๒ แท่ง ใช้เดือนละแท่ง และทรงใช้จนกระทั่งดินสอนั้นกุดจนใช้ไม่ได้แล้วเสมอ
ในหลวงทรงเป็นตัวอย่างของ ความสร้างสรรค์ พระองค์ทรงพิสูจน์และเป็นตัวอย่างให้พวกเราเห็นว่า การมีวินัย ความรับผิดชอบ ความพอดี ความซื่อสัตย์ และการประหยัดอย่างยิ่งนั้น ก็มิได้หมายความว่าความคิดในการสร้างสรรค์ของมนุษย์จะลดลงไป พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างและพิสูจน์เรื่องนี้จนเป็นที่ประจักษ์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้สิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์ เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า กังหันชัยพัฒนา นั่นเอง
ในหลวงทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง หลายครั้งไม่จำเป็นต้องมีเครื่องดนตรีช่วย เช่นครั้งหนึ่งเมื่อเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายแล้วทรงตีเส้น ๕ เส้น แล้วทรงเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง เราสู้ เป็นต้น และเราเคยทราบกันหรือไม่ว่า ในหลวงเป็นผู้ประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรภาษาไทยสำหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Thai Font) ขึ้นหลายรูปแบบ เช่น ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์ เป็นต้น
เรื่องของในหลวงของเรา เล่าอย่างไรก็ไม่หมด ผู้เล่าและผู้อ่านมีความสุขเสมอ ประชาชนในประเทศอื่นฟังแล้วไม่อยากเชื่อ และไม่มีวันที่จะเข้าใจถึงความรักและความผูกพันระหว่างพสกนิกรและในหลวงของเราได้ และในปี ๒๕๕๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราจะมีพระชนมายุ ๘๑ พรรษาแล้ว พระองค์ยังคงทรงงานหนักเพื่อพวกเราเหมือนเดิม….. เหลือเพียงพวกเราแล้ว ที่จะตอบแทนหรือเดินตามเบื้องพระยุคลบาทอย่างไรให้เหมาะสมและสมควร ต่อความรักและความห่วงใยที่ในหลวงมีต่อพวกเรา
บทความนี้ขอจบด้วยเรื่องจริงเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในสยามประเทศนี้ เป็นเรื่องจริงที่ยากที่จะเกิดบนแผ่นดินอื่นในโลกนี้…… ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯ เยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่ามีฝนตกมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเสด็จเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้ราชองค์รักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน ในหลวงและประชาชนของพระองค์ท่าน ชุ่มฉ่ำกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมา ทั้งกายและใจ
โชคดีที่ได้เกิดบนแผ่นดินนี้ …. แผ่นดินของในหลวงของเรา
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญ
บทความโดย นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์

คนไทยรักในหลวง (1)

คนไทยรักในหลวง เป็นประโยคสั้นๆ ที่ไม่ต้องการคำอธิบาย และทุกครั้งที่มีคนเล่าเรื่องในหลวงให้เราฟัง ไม่ว่าจะโดยคำพูดหรือตัวอักษร เราก็จะมีความสุขที่ได้รับรู้และมีส่วนร่วม เป็นความสุขที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ทั้งผู้เล่า ผู้เขียน และผู้ฟัง
ในหลวงของเราอาจจะมิได้เป็นเทพบนท้องฟ้า แต่เราก็รักและเชื่อมั่นในหลวงของเราอย่างยิ่ง เพราะว่าในหลวงของเราเป็นมนุษย์ที่ทำความดีไว้มากมาย มีวินัยที่ดีเยี่ยม มีความขยันที่เป็นตัวอย่าง มีความรักและความรับผิดชอบจนเป็นที่ประจักษ์จนไม่ต้องพิสูจน์ ดังนั้นการจะเล่าเรื่องของในหลวงให้ฟังกัน จึงเป็นเรื่องที่เราไม่เคยเบื่อ และบทความสั้นต่อจากนี้ก็เป็นอีกบทความหนึ่งที่ผู้เขียนเขียนด้วยความสุข เพื่อร่วมความสุขกับผู้อ่านครับ
ในหลวงของเรานั้น มีพระปรมาภิไธยอย่างเป็นทางราชการว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร
ในหลวง สมเด็จย่า
ในหลวงทรงมีความผูกพันอย่างยิ่งกับสมเด็จย่า ซึ่งพระองค์ทรงเรียกด้วยคำธรรมดาว่า แม่ และสมเด็จย่าทรงเป็นตัวอย่างให้พระองค์เสมอ ทรงสอนให้ในหลวงของเราเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ มีวินัย มีความรักผู้อื่น มีความอดทน มีความประหยัด และมีความคิดสร้างสรรค์ สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่เพื่อศึกษาภูมิประเทศของเมืองไทย โดยโปรดเกล้าฯ ให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์ ดังนั้นทุกคนที่ตามเสด็จในหลวงไปตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศจะทราบว่า ในหลวงจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ ๓ สิ่งเสมอ คือ กล้องถ่ายรูป ดินสอที่มียางลบ และแผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง (ตัดต่อเอง ปิดกาวเอง) จนของสามสิ่งง่ายๆ นี้ เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำให้ความลำบากยากไร้ของชาวไทยในท้องถิ่นชนบททั่วประเทศมีความสุขและความเท่าเทียมมากขึ้น
บทความโดย นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์